May 9, 2024   2:31:43 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
 

บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
วันที่: 19/06/2006 @ 16:05:22
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ที่มา : http://www.thaivi.com/content/view/279/49/


เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น [/color:433b865907">[/size:433b865907">


ผมได้อ่านข้อมูล ใน tvi ว่าเเงินเฟ้อในเดือน ก.ค. เพิ่มสูงถึง 5.3% แล้วครับ และผมคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือนต่อๆ ไปของปีนี้ก็น่าจะคงอยู่ในระดับนี้หรือมากกว่านี้ไปอีก โดยเหตุผลหลักก็เป็นที่ทราบกันว่ามาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น

หากมองอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในระดับปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 1% ซึ่งก็หมายความว่า หากผู้ฝากเงินมีเงิน 1 ล้านบาท เมื่อครบ 1 ปีจะมีเงินเพิ่มขึ้น 1% แต่จะซื่อของได้น้อยลง 5% เพราะเงินเฟ้อทำให้อำนาจซื้อของเงินจำนวนเท่าเดิมลดลง เท่ากับว่าผู้ที่มีเงินออมและมีรายได้จากเงินฝากจนลง 4% ในแต่ละปี อย่าคิดว่าจะเอาดอกเบี้ยมาเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปีเลยครับ แค่ทำให้เราไม่จนลงยังทำไม่ได้เลยครับ

หากเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ไปอีก 3 ปี ก็เท่ากับว่าผู้ออมเงินจนลงไป 12% ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่น่ากลัวไม่น้อยทีเดียวครับ

แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศก็เลือกที่จะออมด้วยการฝากธนาคาร !

หรือไม่บางส่วนก็ออมผ่านกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งปัจจุบันเราเห็นขนาดกองทุนตราสารหนี้ใหญ่กว่ากองทุนหุ้นค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นเพราะว่าหลายคนยังกลัวการลงทุนในหุ้นอยู่พอสมควร กองทุนตราสารหนี้ที่เป็นที่นิยมมากคือ กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 9 เดือน 12 เดือน ซึ่งให้ผลตอบแทนประมาณ 2% กว่าๆ ดูเหมือนจะรับประกันผลตอบแทน ซึ่งก็คงจะเป็นเช่นนั้น หากกองทุนตราสารหนี้ดังกล่าวไม่ไปลงทุนใน B/E ของบริษัทเอกชนที่เสี่ยงเกินไปนัก เมื่อเงินเฟ้อขึ้นไปเป็น 5% ผู้ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ดังกล่าวก็จะจนลงปีละ 3%

หากพิจารณาการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวอย่างพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ก็จะให้ผลตอบแทนวันนี้ที่ 4.69% ต่อปี ซึ่งก็ยังแพ้เงินเฟ้ออยู่ดี หากเป็นพันธบัตรที่อายุสั้นกว่านั้น ก็จะมีผลตอบแทนน้อยลงไปอีก เช่น พันธบัตรอายุ 5 ปีก็จะมีผลตอบแทน 4.16%

หากเราดูหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนที่มีบริหารเงินออมให้คนส่วนใหญ่ของประเทศ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และกองทุนประกันสังคม ซึ่งมีทางเลือกในการลงทุนมากกว่าการฝากเงิน สินทรัพย์ส่วนใหญ่ของกองทุนดังกล่าวก็ยังเป็นพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ เงินฝากธนาคาร ซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำกว่า 5% เกือบทั้งนั้น เว้นเสียแต่หุ้นกู้ บ. เอกชนบางบริษัทที่อาจจะให้ผลตอบแทนเกิน 5% แต่ก็เป็นส่วนน้อยและน่าจะเป็นบริษัทที่มีความเสี่ยงทางการเงินอยู่พอสมควร การลงทุนในหุ้นของหน่วยงานทั้ง 3 อยู่ในระดับค่อนข้างน้อยคือ ส่วนใหญ่จะไม่เกิน 15% ซึ่ผลตอบแทนของตลาดปีนี้ยังไม่ถึง 5% ดังนั้นผลตอบแทนของเงินออมของคนส่วนใหญ่ของประเทศต่ำกว่าเงินเฟ้อทั้งนั้น

ผมเชื่อว่าสถานการณ์ตรงนี้อาจจะคงอยู่ไม่นานนัก เราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบ้าง เช่น การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น เพื่อให้ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยและเงินเฟ้อแคบลง และเพื่อไม่ให้เงินไหลออกมากเกินไป การขึ้นดอกเบี้ยในกรณีนี้ก็น่าจะทำให้ดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มขึ้นด้วย

แต่หาก....... มีสถานการณ์หรือภาวะแวดล้อมอะไรบางอย่างที่ทำให้ภาวะดอกเบี้ยเงินฝากรวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยในระบบไม่เพิ่มขึ้น ผมคิดว่าการลงทุนในหุ้นจะกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง เพราะอัตราเงินปันผลของตลาดหุ้นยังสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างมาก รวมไปถึงการที่หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงของเงินเฟ้อได้เป็นอย่างดี เนื่องจากในระยะยาวราคาหุ้นจะมีความสัมพันธ์กับเงินเฟ้อ

เมื่อวันอาทิตย์ผมได้เดินที่ร้าน se-ed อันดับหนังสือที่ขายดีอันดับที่ 16 ของร้าน se-ed คือ หนังสือ ? ทำธุรกิจอพาร์ตเมนท์กันดีกว่า ? ผมซื้อหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มสุดท้ายของร้าน ซึ่งอาจจะเกิดจากหนังสือขายดี ประกอบกับจำนวนการพิมพ์และการสั่งเข้าร้านค่อนข้างน้อย แสดงว่าทั้งผู้พิมพ์และผู้ขายก็ไม่คิดเหมือนกันว่าหนังสือเล่มนี้จะขายดี

เป็นตัวบ่งบอกอย่างหนึ่งว่า ประชาชนที่มีเงินออมกำลังเบื่อกับดอกเบี้ยเงินฝาก 1% เต็มทนแล้ว จึงยอมทำอะไรที่เสี่ยงขึ้นกันแล้ว

หลายคนกำลังจะสร้างอพาร์ตเมนต์ หากประสบความสำเร็จ อาจจะได้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 8-12% ต่อปี ขึ้นกับความสามารถในการบริหารจัดการ ซึ่งหากได้ 10% ต่อปีก็เท่ากับการฝากธนาคาร 10 ปี ผมซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านเป็นความรู้แต่ผมคงไม่ทำอพาร์ตเมนท์ครับเพราะอพาร์ตเมนต์ที่เราจะทำได้คงไม่ใช่ระดับบนที่เก็บค่าเช่าเดือนละ 2-5 หมื่น แต่คงจะต้องเป็นระดับกลางถึงล่าง ซึ่งดูแล้วน่าจะมีปัญหาตามมาสารพัดทีเดียว และที่สำคัญก็คือเวลาส่วนตัวที่จะลดลงไปเยอะมากซึ่งผมมองว่ามันเป็นต้นทุนแฝงครับ

ดังนั้น ผมคิดว่าหากเงินเฟ้อระดับนี้ และดอกเบี้ยเงินฝากยัง 1% ควรจะกลับเข้ามาพิจารณาการลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง

แต่คราวนี้ ผมไม่คิดว่าควรจะข้ามาซื้อหุ้นทุกตัวแบบกระจายเหมือนปี 2546 แต่จะเป็นการซื้อแบบเจาะจง โดยจะเน้นไปที่หุ้นที่มี pricing power คือ สามารถผลักภาระต้นทุนให้กับลูกค้าได้เต็มๆ หรือเผลอๆ จะมี margin ดีขึ้นด้วยซ้ำจากการขึ้นราคาสินค้า ซึ่งมักจะเป็นหุ้นที่เป็นผู้นำตลาด หรือมีความนิยมในตัวสินค้าและผลิตภัณฑ์สูง หรือหุ้นที่เป็นลักษณะ monopoly ซึ่งหุ้นที่ว่ามานี้มักจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ ดังนั้นเราอาจจะได้เห็นหุ้นขนาดใหญ่หรือหุ้นขนาดกลางและเล็กที่เป็นผู้นำตลาด มีผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นที่มีขนาดเล็ก ซึ่ง trend นี้เราก็เห็นมาบ้างแล้วพอสมควรตั้งแต่ต้นปีครับ

หุ้นอีกประเภทที่จะได้รับผลดีจากเงินเฟ้อ คือ หุ้นที่มีสินทรัพย์มากๆ ซึ่งราคาสินทรัพย์น่าจะปรับเพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากเงินเฟ้อทำให้ต้นทุนการก่อสร้างใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ทำให้สินทรัพย์ที่มีอยู่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น

หุ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ้นใหญ่หรือเล็กที่สามารถฝ่าด่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากเงินเฟ้อมาได้ และมีกำไรไม่ลดลง และสามารถปันผลได้ 5-7% ต่อปี จะเป็นหุ้นที่น่าสนใจมากทีเดียวครับ

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นในครึ่งหลังของปีนี้ คงจะต้องเป็นการซื้อหุ้นคุณภาพ คือหุ้นดีราคาไม่แพงเกินไป ไม่ใช่หุ้นถูกแต่คุณภาพอาจจะไม่ดี เพราะหุ้นถูก อาจจะถูกเพราะ p/e ของปีก่อน ซึ่งหากคิด p/e ปีนี้อาจจะแพงขึ้นมากหรือขาดทุนไปเลยก็เป็นไปได้ครับ

ผมได้แต่หวังว่า เงินที่เข้ามาซื้อหุ้น คงจะเป็นเงินออมของประชาชน ที่เข้ามาเลือกซื้อหุ้นดีๆ คงไม่ใช่เงินต่างชาติ ที่เค้ารู้ว่าหุ้นบ้านเราตัวไหนยังถูก อาศัยข้อมูลที่เหนือกว่าทำกำไรกลับไปอีก

และหวังว่าหน่วยงานทั้ง 2 ที่เป็นกึ่งรัฐอย่างกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม หรือเอกชน คือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ น่าจะพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์มากขึ้นครับ เพราะอย่างไรเสียหากเลือกหุ้นถูกตัว ผลตอบแทนในระยะยาวๆ ของหุ้นก็ดีกว่าการลงทุนประเภทอื่นๆ อยู่พอสมควรครับ

ผมอ่านกระทู้ของเพื่อนท่านหนึ่งใน tvi ยกประเด็นว่า การฝากธนาคารในปัจจุบัน ก็เหมือนการซื้อหุ้นที่ p/e 100 เท่า เพราะต้องจ่ายไป 100 แต่ได้กลับมาปีละ 1 เป็นประเด็นที่น่าสนใจทีเดียวครับ ผมเห็นว่าแม้จะเป็นหุ้นที่ดีที่สุดและไม่มีความเสี่ยงอะไรเลย ก็ไม่ควรมี p/e 100 เท่าครับ และยิ่งหุ้นตัวนั้นอาจจะไม่มี growth ด้วย

การถือเงินสดเป็นส่วนใหญ่อาจจะไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีเสมอไปสำหรับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อสูงอย่างที่เราเห็นในช่วงนี้เสมอไปครับ การถือหุ้นดีมีคุณภาพ และมีปันผล จึงเป็นทางเลือกที่น่าจะดีกว่าครับ

สิ่งที่ผมแปลกใจคือ ทำไมคนไทยส่วนใหญ่จึงมีความรู้เรื่องการลงทุน การบริหารเงินออม โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นน้อยมาก แม้ว่านักศึกษาที่จบมาจากสาขา finance ก็ไม่มีความรู้ทางการลงทุนเท่าที่ควรนัก ซึ่งไม่ต้องหวังอะไรกับนักศึกษาที่จบจากสาขาอื่นเลย แสดงว่าประเทศไทยยังล้มเหลวในการระบบการศึกษาพอสมควรครับ

ความรู้เรื่องการลงทุน จะเป็นความรู้ที่มีค่าขึ้นเรื่อยๆ ครับ หากเราไม่อยากจนลงปีละ 4% หรือซื้อหุ้นที่ p/e 100 เท่าครับ

การลงทุนก็เปรียบเสมือนเรือที่แล่นในทะเลอาจจะเสี่ยงที่จะจมลงจากคลื่นลมพายุ การฝากเงินอย่างเดียวก็เหมือนเรือที่จอดอยู่บนฝั่งแม้จะไม่จมจากพายุ แต่วันหนึ่งก็จะถูกสนิมกัดกร่อนจนผุ ซึ่งเงินเฟ้อก็เหมือนสนิมที่คอยกัดกินเรืออยู่ตลอดเวลาครับ

ยิ่งตอนนี้มีคลี่นสึนามิแล้วด้วย เรือที่จอดอยู่ริมฝั่งอาจจะพังง่ายๆ ได้ทีเดียวครับ : )
[/color:433b865907">

........................................................................................................

เป็นบทความจากนักลงทุน ที่โดยส่วนตัวคิดว่าน่าสนใจทีเดียว
ก็เลยขออนุญาตินำมาฝาก แต่ ทั้งนี้ ทั้งนั้น นักลงทุนแต่ละคนก็มีลักษณะเฉพาะตัวในการคัดเลือกหุ้นที่แตกต่างกันไป ดังนั้นผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างที่แสดงไว้ในบทความหรือไม่ก็คงต้องฝากไว้ที่ฝีมือของตัวเราเอง......

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

** วิธีคิดมีมากมาย แตกต่างกันไป ซึ่งล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งในด้านเป็นความรู้พื้นฐาน และ ช่วยในเรื่องกลยุทธ แต่สุดท้ายก็คงไม่พ้นมือเรา ที่เป็นคนต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง ...อย่าลืมกฎข้อนี้นะ....

ด้วยความปรารถนาดีที่สุด

.................................

 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#1 วันที่: 19/06/2006 @ 16:19:21 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
ที่มา : http://www.thaivi.com/content/view/181/49/
.....................................................................................................

พลังแห่งศรัทธา [/color:f645354766">[/size:f645354766">


[b:f645354766">ในช่วงชีวิตของคนๆหนึ่ง ผมเชื่อว่าเขาต้องมีความศรัทธาในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผมเองในช่วงแรกของการทำงานหลังจากจบการศึกษาแล้ว ผมต้องทำงานเป็นวิศวกรโรงงานของบริษัทแห่งหนึ่ง ผมต้องควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสิ้นสองกะจำนวนกว่า30คน กับโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่จะยอมให้ไฟดับไม่ได้อีกหนึ่งโรง ถ้าไฟดับมันไม่ใช่แค่โรงไฟฟ้ามีปัญหา แต่ปัญหามันจะเกิดกับโรงงานในกลุ่มที่รับเอากระแสไฟฟ้าไปใช้ มันทำให้เกิดความสูญเสียตามมามากครับ ความกลัวของผมเกิดขึ้นทันทีที่รู้ว่าต้องรับหน้าที่นี้ในตอนที่เราเรียนจบใหม่ๆ ไม่เคยต้องรับผิดชอบอะไรที่ใหญ่ๆอย่างนี้มาก่อนเลยก็ว่าได้


หลังจากความกลัวเกิดขึ้น สมองก็ต้องทำงานอย่างหนักเพราะเราต้องพยายามหาเหตุผลหักล้างความกลัวเพื่อให้เกิดความกล้าและเริ่มวางแผนการทำงานให้ดี ตรงนี้แหละครับมันเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ต้องเลิกเป็นเด็กเสียที ต้องสร้างศรัทราให้เกิดขึ้นให้ได้ และนั่นคือรา และมันเป็นราในตัวเองครับ

ผมเริ่มงานนั้นอย่างขลุกขลัก วันแรกที่เดินเข้าโรงงานมันก็เริ่มลองของผมทันที โรงงานขัดข้องจ่ายไฟฟ้าไม่ได้ไปหนึ่งวันเต็มๆ ลองนึกดูซิว่านายช่างมือใหม่อย่างผมจะทำอย่างไร มันกะทันหันจริง ผมคิดได้ว่ามันต้องเริ่มที่หัวหน้างานที่ชินงาน ถามไปพร้อมๆกับเปิดคู่มือเดินเครื่อง ค่อยๆแก้ไปตามขั้นตอน จนในที่สุดมันก็กลับมาเดินเครื่องได้เป็นปกติ ถ้าผมขาดสติ ขาดความเชื่อมั่นในตัวเองเวลานั้นผมคงต้องเดินออกจากโรงงานในเวลาไม่นานแน่ๆ ด้วยเหตุผลที่ให้กับตัวเองว่า ?มันเป็นงานที่ไม่เหมาะกับผม?

แต่วันนั้นผมไม่ยอมแพ้ ผมสู้กับปัญหาตั้งแต่วันแรกและผมทำได้ ผมได้สร้างศรัทราในตัวเองขึ้นมาได้ มันทำให้ผมมั่นใจว่าเมื่อไม้โทราในตัวเองและเชื่อมั่นว่าผมทำได้ ผมจะต้องทำให้ได้ มันเป็นไปตามคำพูดที่ว่า ?ความลับราสามารถเคลื่อนขุนเขาได้?

ในโลกของการลงทุนเองก็เช่นกัน ผมใช้ราในตัวเองมาควบคุมจิตใจสร้างเป้าหมายการลงทุน เป็นขั้นเป็นตอนตลอดเวลา ผมเริ่มต้นจากเงินเก็บที่ได้จากการทำงานตลอดเวลาหลายปีหลักแสนบาท หลังจากพลาดท่านายตลาดเกือบย่อยยับ แต่ผมไม่เลิก ผมพยายามหาแนวทางที่จะเอาชนะนายตลาดให้จงได้ และในที่สุดผมก็พบ ผมอ่านมากศึกษามาก ทดลองมาก ผมไม่เคยอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้นานเกินสามหน้าครับ ตอนที่ผมตั้งใจว่ามันไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ผมจึงเริ่มต้นอ่านและอ่านได้จนจบเล่ม และอีกหลายๆเล่มตามมา มันเป็นความลับราในตัวเองจริงๆครับที่ผมไม่เคยทำได้มาก่อนเลยแต่ผมก็ทำได้ จนทุกวันนี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตประจำวันของผมไปแล้วครับ

ผมเริ่มกลับมาลงทุนใหม่โดยใช้แนวทางใหม่ แต่ปัญหาก็ยังไม่หมด ผมยังควบคุมอารมณ์บางช่วงบางตอนได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่ผมได้ปฏิบัติทุกขั้นตอนมาครบถ้วนแล้ว สุดท้ายผมต้องเริ่มต้นสร้างศรัทราให้เกิดขึ้นใหม่อีกรอบ จนทุกวันนี้ก็ยังมีบ้างแต่ผมเชื่อว่าผมควบคุมมันได้มากขึ้นในระดับที่ดีทีเดียว
มาถึงเวลานี้แล้วผมเห็นเพื่อนๆหลายๆคน พยายามที่จะสร้างอุปนิสัยในการเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด หลายๆคนลงมือไปแล้วแต่พบว่าหุ้นหลายบริษัทที่ลงไปมันไม่ขยับขึ้นแต่กลับลงมานิดหน่อย ก็เลยคิดว่าเราคิดผิด กังวลวุ่นวายไปหมด สุดท้ายผมเห็นว่าทนไม่ไหวเพราะตลาดขึ้นเอาขึ้นเอา ขายหุ้นที่มีอยู่ออกไปและเข้าไปมั่วกับเขาด้วย ตอนนี้กลับมานั่งคุยกันว่ารู้อย่างนี้อยู่เฉยๆดีกว่า ผมได้ยินบ่อยครับ แม้แต่มาจากจิตใต้สำนึกของผมเองก็ตาม

การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดนั้นไม่ได้เป็นได้เพราะเป็นบุคคลที่ฉลาด IQสูง การศึกษาสูง แต่เป็นได้เพราะเป็นบุคลที่มีอุปนิสัยดังที่ผมได้กล่าวไว้ และการที่จะเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดได้นั้นท่านต้องกันราในตัวเอง ศรัทราในสิ่งที่ท่านวางแผนและทำลงไป ให้เวลามันพิสูจน์ทุกอย่างที่ท่านได้ตัดสินใจทำลงไปด้วยการใช้สติปัญญาอย่างรอบคอบ อย่าให้ความโง่เขลามาทำลายศรัทธาที่ท่านสร้างมาอย่างดีแล้วลงไปอย่างง่ายดาย

ถ้าท่านทำลายศรัทธาของท่าน เท่ากับท่านทำลายความเป็นตัวเองของท่านนะครับ

[/color:f645354766">[/size:f645354766">[/b:f645354766">

.......................................................................................................

ขอบคุณนะคะ

ฟฟฟฟ3
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#2 วันที่: 19/06/2006 @ 16:31:03 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
ที่มา : http://www.thaivi.com/content/view/263/49/


กระบี่ที่ใจ[/color:9553123527">[/size:9553123527">

...........................................................................................................

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคุณวิบูลย์ชวนออกนอกเรื่องหนักๆ คราวนี้มาคุยกันเรื่องสบายๆกันสักพักเพื่อพักสมองกันหน่อย แล้วค่อยกลับไปลุยเรื่องหนักๆ กันต่อ ผู้อ่านท่านใดกำลังติดตามอย่างเมามันอยู่ก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ


ในวงสนทนาต่างๆ มักจะเปรียบเทียบรูปแบบการลงทุนทั้งแบบเทคนิคเคิลและแบบพื้นฐานตามสำนวนกำลังภายใน แบบเทคนิคเคิลมักจะต้องว่องไวเปรียบได้กับฝ่ายกระบี่ ส่วนแบบพื้นฐานและแบบเน้นมูลค่านั้นเปรียบได้กับลมปราณซึ่งไปแบบสุขุมนุ่มลึก


จอมยุทธ์ทั้งสองสำนักที่ประสบความสำเร็จได้นั้นต่างก็จะต้องมีกระบี่อยู่ที่ใจทั้งสิ้น จอมยุทธ์ระดับเริ่มต้นอาจจะยังมีไม่เต็มที่ หรือบางท่านไม่มีเอาเสียเลย


[u:9553123527">[b:9553123527">กระบี่ที่ใจ[/b:9553123527">[/u:9553123527">ที่ผมว่านี้คือความฉลาดทางอารมณ์หรือ Emotional Quotient ก็ EQนั่นเองครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าเรื่องความฉลาดทางวิชาการหรือ Intelligent Quotient, IQ เสียด้วยซ้ำ เพราะถ้าIQสูงก็ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควรต้องเห็นด้วยกับผมแน่ แต่คนที่EQสูงมักจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากกว่า ทั้งในปัจจุบันและในอดีต


ในอดีตผู้ที่เป็นใหญ่ เป็นกษัตริย์ เป็นแม่ทัพ เป็นผู้ที่กุมใจไพร่พลและประชาชนทั้งปวงนั้นคือผู้ที่มี EQ สูงทั้งสิ้น ส่วนผู้ที่ IQสูงนั้นมักเป็นแค่กุนซือ ที่ปรึกษา ลองนึกถึง เล่าปี่ลูกคนทอเสื่อขาย กับจอมปราชญ์จูกัดเหลียง (ขงเบ้ง) เป็นตัวอย่าง


เมื่อไม่นานมานี้นักวิชาการชื่อ Daniel Goleman ได้ติพิมพ์หนังสือเรื่อง Emotional Intelligent โดยให้คำจำกัดความของEQไว้ว่าคือ ความสามารถในการมีความรู้สึกและอารมณ์ร่วมกับผู้อื่น มีความสามารถในการรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเอง สามารถอดกลั้น อดทน มีวินัย และมีความสามารถในการคบหากับคนอื่นหรือ Human Skill ซึ่งหากแยกเป็นข้อๆ จะต้องมีความสามารถดังต่อไปนี้

1. รู้จักและตระหนักได้ถึงอารมณ์ ความรู้สึกของตนเองหรือมีความสามารถในการรับรู้และระมัดระวังตนเอง

2. จัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้

3. รู้จักจูงใจตนเอง กล่าวคือ รู้จักที่จะควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตนเองโดยชักจูงให้ตนเองทำในสิ่งที่ถูกที่ควรได้

4. รู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น

5. มีศิลปะในการมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น กล่าวคือ รู้และเข้าใจที่จะปฏิบัติต่อใคร อย่างไร ได้อย่างถูกกาลเทศะ


คนที่รู้และเข้าใจความรู้สึกของตนเองนั้นจะมีความสามารถในการนำชีวิตของตนเองให้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น มีการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล และหากจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ดีแล้ว จะเป็นผู้เครียดและท้อแท้สิ้นหวังน้อยกว่าผู้อื่น เพราะรู้จักวิธีที่จะหลุดพ้นจากความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนาได้


สำหรับการลงทุนเองก็เช่นกัน เพราะตลาดหุ้นขึ้นๆ ลงๆ ตามอารมณ์ของผู้เล่นส่วนใหญ่ มันเป็นเสมือนการโหวตเสียงในระยะเวลาสั้นๆ แต่ในระยะยาวแล้วมันเป็นเครื่องชั่งน้ำหนักของกิจการนั่นเอง ดังนั้นหากเราควบคุมอารมณ์ความรู้สึกต่อของเราในระยะเวลาสั้นๆ ได้เราจะได้เห็นว่าในระยะยาวแล้วเครื่องชั่งจะชั่งน้ำหนักว่าบริษัทไหนมีน้ำหนักดี บริษัทไหนโกงน้ำหนัก


จากคุณสมบัติสำคัญของผู้มี EQนั้น เราจะเห็นได้ว่ามีข้อหนึ่งที่ต้องรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น และนั่นคือคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่ง เมื่อผู้คนกำลังหมกมุ่นไล่หุ้นกันอย่างบ้าคลั่ง ไร้เหตุผล เราต้องรู้และควบคุมไม่ให้เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว และคอยหาโอกาสทองจากสถานการณ์นั้น จังหวะที่ผู้คนแตกตื่นขายขายหุ้นทิ้งอย่างไร้เหตุผล เราต้องควบคุมตัวเราให้มั่นคง และเช่นเดิมหาโอกาสซื้อของดีราคาถูก ผมเองชอบสถานการณ์แบบนี้ที่สุดเลย ขอบอก!!!


เรื่อง IQ นี้มันเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับคุณตั้งแต่เกิด เลือกไม่ได้ แต่ EQ นั้นเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนเป็นประจำและอดทนถึงจะเกิดขึ้นได้


Warren Buffett กล่าวว่า ผลสำเร็จของการลงทุน ไม่ได้เป็นสัดส่วนกับ IQ แม้แต่น้อย และมันเป็นสัดส่วนกับอะไรละครับ?

คำตอบสำหรับผมคือ

๐คุณควบคุมให้ตัวเองศึกษาธุรกิจของบริษัทที่คุณจะลงทุนให้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งหรือไม่

๐คุณควบคุมให้ตัวเองอดทนรอที่จะซื้อหุ้นบริษัทดีๆ ที่คุณศึกษามาอย่างทะลุปรุโปร่งในตอนที่ราคาลดกระหน่ำได้หรือไม่

๐คุณควบคุมให้ตัวเองอดทนรอที่จะให้บริษัทของคุณสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น และสะท้อนออกมาได้หรือไม่

๐คุณมีวินัยพอที่จะไม่ทำอะไรที่เสี่ยงๆ แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้หรือไม่

๐คุณทนเห็นหุ้นของคุณอยู่นิ่งๆ แต่หุ้นอื่นวิ่งแซงไปหลายช่วงตัวได้หรือไม่

๐ และ ฯลฯ


เรื่องวินัยนั้นเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการลงทุนครับ Warren Buffett เคยถูกเพื่อนๆถ้าพนันว่า หากเขาตี hold in one ไม่ได้ เพื่อนๆ จะจ่ายให้ 100 USD แต่ถ้าหากฟลุ้คตีได้เขาต้องเสียให้เพื่อนๆ 10 USD Buffett บอกว่าคิดแล้วมันไม่ควรรับข้อเสนอนี้ แม้ว่าความเสี่ยงจะต่ำ แต่โอกาสในการตี Hold in one ได้มันก็มี วิเคราะห์ไม่ได้ วัดดวงลูกเดียว ฉะนั้นไม่เอาดีกว่า เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ยังยอมได้ สักวันคงจะเผลอทำเรื่องใหญ่ๆ เข้าจนได้


ครับ...ผู้ที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนที่ผมยกมานี้ เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของการควบคุมอารมณ์ความรู้สึก และรักษาวินัยอย่างเคร่งครัด แม้โอกาสที่จะได้เงินสูงมาก(Buffett เป็นคนงกมากครับ ลูกยืมเงินค่าจอดรถ 20USDแกยังให้คืนเงินแกเลย) แต่ก็ไม่ยอมเสี่ยง เพราะจะทำให้เสียนิสัย แต่เราๆ ท่านๆ ล่ะ รักษาวินัยหรือรักษากระบี่ที่ใจของคุณให้แหลมคมได้ดีอยู่หรือเปล่า


--กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 10 - 16 มิถุนายน 2548--

..........................................................................................................

ฟฟฟฟ3
 กลับขึ้นบน
จันทรา
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,898
#3 วันที่: 19/06/2006 @ 17:55:33 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
.0005 .0005 .0005
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#4 วันที่: 19/06/2006 @ 18:18:29 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
ตัวอย่างการเลือกประเภทของหุ้นที่น่าลงทุนภายใต้ภาวะเงินเฟ้อขณะนี้
( แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคลด้วยนะคะ )

ที่มา : คุณ Invisible Hand แห่ง กระทิงเขียว (ขอบคุณนะคะ )

.........................................................................................................

http://www.bbznet.com/scripts3/view.php?user=greenbull&board=8&id=2766&c=1&order=numtopic

ณ 13/06/06............

ตลาดโดยรวมมีแนวโน้มที่ไม่ดีนักครับ เพราะว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีแรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อซึ่งทำให้มีการคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยจะปรับขึ้นอีก ดังนั้นเมื่อตลาดต่างประเทศลงค่อนข้างเยอะในแต่ละวัน ตลาดหุ้นบ้านเรา ซึ่งปีนี้คงไม่มีอะไรที่โดดเด่นกว่าประเทศอื่นนัก คงจะปรับตัวลงตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น สำหรับ VI เรื่องการ timing หรือการขายเล่นรอบ คงไม่ใช่เรื่องที่นักลงทุนแนว VI ถนัดอยู่แล้ว ดังนั้น สำหรับเพื่อนๆ ที่มีหุ้นเต็มพอร์ตแล้ว ก็คงต้องมานั่งดูว่า มีหุ้นตัวไหนที่ไม่ได้มีพื้นฐานที่ดีจริงๆ รึเปล่า หรือมีการเปลี่ยนแปลงในพื้นฐาน ก็ควรขายหุ้นเหล่านั้นออกไป เพื่อนำเงินมาซื้อหุ้นที่ดีกว่าที่ปรับตัวลงมาครับ สำหรับคนที่มีเงินสดเหลืออยู่บ้าง ก็เป็นจังหวะที่ดีในการพิจารณาหุ้นดีๆ เข้าลงทุนครับ แต่ก็ไม่ต้องรีบร้อนนะครับ เพราะปกติแล้วตลาดขาลงก็กินเวลานานอยู่พอสมควร ดังนั้นเราน่าจะต่อราคาได้พอสมควรครับ

ก็ตามที่เคยให้แนวทางไว้นะครับ

[b:be8ae79def">ในภาวะเงินเฟ้อเช่นนี้ ควรพิจารณาหุ้นที่อยู่ติดกับผู้ซื้อขั้นสุดท้ายที่เป็นผู้บริโภครายเล็กจำนวนมากๆ นะครับ เพราะเป็นกลุ่มที่จะปรับราคาสินค้าหรือบริการตามภาวะต้นทุนได้มากกว่ากลุ่มอื่นๆ ครับ อย่างตัวเลขเงินเฟ้อที่เพิ่งประกาศออกมานั้น ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่ม 6% แต่ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่ม 11% ดังนั้นเท่ากับว่าผู้ผลิตปรับราคาได้น้อยกว่าต้นทุนที่เพิ่มครับ ดังนั้นเราจะเห็น profit margin ของหุ้นภาคการผลิตที่ต่ำลงจากปีที่แล้วในผลประกอบการ q2 ของปีที่ผ่านมานะครับ ดังนั้นควรจะระวังหากจะพิจารณาเข้าซื้อหุ้นภาคการผลิตโดยเฉพาะผู้ผลิตสินค้าขั้นกลาง ( ผู้ผลิตที่มีลูกค้าเป็นโรงงานอีกทีหนึ่ง ) โดยเฉพาะหุ้นที่ตนเองมีขนาดเล็กกว่าลูกค้าซึ่งจะทำให้มีอำนาจต่อรองต่ำครับ [/color:be8ae79def"> [/b:be8ae79def">


****************************************************
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#5 วันที่: 19/06/2006 @ 18:36:06 : Re: re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
[quote:de9cb437f6=บุคคลทั่วไป">ที่มา : http://www.thaivi.com/content/view/181/49/
.....................................................................................................

พลังแห่งศรัทธา [/color:de9cb437f6">[/size:de9cb437f6">


[b:de9cb437f6">ในช่วงชีวิตของคนๆหนึ่ง ผมเชื่อว่าเขาต้องมีความศรัทธาในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผมเองในช่วงแรกของการทำงานหลังจากจบการศึกษาแล้ว ผมต้องทำงานเป็นวิศวกรโรงงานของบริษัทแห่งหนึ่ง ผมต้องควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสิ้นสองกะจำนวนกว่า30คน กับโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่จะยอมให้ไฟดับไม่ได้อีกหนึ่งโรง ถ้าไฟดับมันไม่ใช่แค่โรงไฟฟ้ามีปัญหา แต่ปัญหามันจะเกิดกับโรงงานในกลุ่มที่รับเอากระแสไฟฟ้าไปใช้ มันทำให้เกิดความสูญเสียตามมามากครับ ความกลัวของผมเกิดขึ้นทันทีที่รู้ว่าต้องรับหน้าที่นี้ในตอนที่เราเรียนจบใหม่ๆ ไม่เคยต้องรับผิดชอบอะไรที่ใหญ่ๆอย่างนี้มาก่อนเลยก็ว่าได้


หลังจากความกลัวเกิดขึ้น สมองก็ต้องทำงานอย่างหนักเพราะเราต้องพยายามหาเหตุผลหักล้างความกลัวเพื่อให้เกิดความกล้าและเริ่มวางแผนการทำงานให้ดี ตรงนี้แหละครับมันเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ต้องเลิกเป็นเด็กเสียที ต้องสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นให้ได้ และนั่นคือศรัทธา และมันเป็นศรัทธาในตัวเองครับ

ผมเริ่มงานนั้นอย่างขลุกขลัก วันแรกที่เดินเข้าโรงงานมันก็เริ่มลองของผมทันที โรงงานขัดข้องจ่ายไฟฟ้าไม่ได้ไปหนึ่งวันเต็มๆ ลองนึกดูซิว่านายช่างมือใหม่อย่างผมจะทำอย่างไร มันกะทันหันจริง ผมคิดได้ว่ามันต้องเริ่มที่หัวหน้างานที่ชินงาน ถามไปพร้อมๆกับเปิดคู่มือเดินเครื่อง ค่อยๆแก้ไปตามขั้นตอน จนในที่สุดมันก็กลับมาเดินเครื่องได้เป็นปกติ ถ้าผมขาดสติ ขาดความเชื่อมั่นในตัวเองเวลานั้นผมคงต้องเดินออกจากโรงงานในเวลาไม่นานแน่ๆ ด้วยเหตุผลที่ให้กับตัวเองว่า ?มันเป็นงานที่ไม่เหมาะกับผม?

แต่วันนั้นผมไม่ยอมแพ้ ผมสู้กับปัญหาตั้งแต่วันแรกและผมทำได้ ผมได้สร้างศรัทธาในตัวเองขึ้นมาได้ มันทำให้ผมมั่นใจว่าเมื่อมีศรัทธาในตัวเองและเชื่อมั่นว่าผมทำได้ ผมจะต้องทำให้ได้ มันเป็นไปตามคำพูดที่ว่า ?ความศรัทธาสามารถเคลื่อนขุนเขาได้?

ในโลกของการลงทุนเองก็เช่นกัน ผมใช้ศรัทธาในตัวเองมาควบคุมจิตใจสร้างเป้าหมายการลงทุน เป็นขั้นเป็นตอนตลอดเวลา ผมเริ่มต้นจากเงินเก็บที่ได้จากการทำงานตลอดเวลาหลายปีหลักแสนบาท หลังจากพลาดท่านายตลาดเกือบย่อยยับ แต่ผมไม่เลิก ผมพยายามหาแนวทางที่จะเอาชนะนายตลาดให้จงได้ และในที่สุดผมก็พบ ผมอ่านมากศึกษามาก ทดลองมาก ผมไม่เคยอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้นานเกินสามหน้าครับ ตอนที่ผมตั้งใจว่ามันไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ผมจึงเริ่มต้นอ่านและอ่านได้จนจบเล่ม และอีกหลายๆเล่มตามมา มันเป็นความศรัทธาในตัวเองจริงๆครับที่ผมไม่เคยทำได้มาก่อนเลยแต่ผมก็ทำได้ จนทุกวันนี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตประจำวันของผมไปแล้วครับ

ผมเริ่มกลับมาลงทุนใหม่โดยใช้แนวทางใหม่ แต่ปัญหาก็ยังไม่หมด ผมยังควบคุมอารมณ์บางช่วงบางตอนได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่ผมได้ปฏิบัติทุกขั้นตอนมาครบถ้วนแล้ว สุดท้ายผมต้องเริ่มต้นสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นใหม่อีกรอบ จนทุกวันนี้ก็ยังมีบ้างแต่ผมเชื่อว่าผมควบคุมมันได้มากขึ้นในระดับที่ดีทีเดียว
มาถึงเวลานี้แล้วผมเห็นเพื่อนๆหลายๆคน พยายามที่จะสร้างอุปนิสัยในการเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด หลายๆคนลงมือไปแล้วแต่พบว่าหุ้นหลายบริษัทที่ลงไปมันไม่ขยับขึ้นแต่กลับลงมานิดหน่อย ก็เลยคิดว่าเราคิดผิด กังวลวุ่นวายไปหมด สุดท้ายผมเห็นว่าทนไม่ไหวเพราะตลาดขึ้นเอาขึ้นเอา ขายหุ้นที่มีอยู่ออกไปและเข้าไปมั่วกับเขาด้วย ตอนนี้กลับมานั่งคุยกันว่ารู้อย่างนี้อยู่เฉยๆดีกว่า ผมได้ยินบ่อยครับ แม้แต่มาจากจิตใต้สำนึกของผมเองก็ตาม

การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดนั้นไม่ได้เป็นได้เพราะเป็นบุคคลที่ฉลาด IQสูง การศึกษาสูง แต่เป็นได้เพราะเป็นบุคลที่มีอุปนิสัยดังที่ผมได้กล่าวไว้ และการที่จะเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดได้นั้นท่านต้องศรัทธาในตัวเอง ศรัทราในสิ่งที่ท่านวางแผนและทำลงไป ให้เวลามันพิสูจน์ทุกอย่างที่ท่านได้ตัดสินใจทำลงไปด้วยการใช้สติปัญญาอย่างรอบคอบ อย่าให้ความโง่เขลามาทำลายศรัทธาที่ท่านสร้างมาอย่างดีแล้วลงไปอย่างง่ายดาย

ถ้าท่านทำลายศรัทธาของท่าน เท่ากับท่านทำลายความเป็นตัวเองของท่านนะครับ

[/color:de9cb437f6">[/size:de9cb437f6">[/b:de9cb437f6">

.......................................................................................................

ขอบคุณนะคะ

ฟฟฟฟ3[/quote:de9cb437f6">
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#6 วันที่: 19/06/2006 @ 18:38:40 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
ขออนุญาติแก้ คำพิมพ์ผิดบางคำของต้นฉบับนะคะ...
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#7 วันที่: 19/06/2006 @ 18:49:11 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
http://www.bbznet.com/scripts3/view.php?user=greenbull&board=8&id=2536&c=1&order=numtopic
..........................................................................................................


22/09/05


เมื่อคราวก่อนผมได้พูดถึงเรื่องการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ หรือ ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากปัจจัยด้านต้นทุน

ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากปัจจัยด้านต้นทุน หรือ cost push inflation จะทำให้หุ้นที่อยู่ในภาคบริการมีความน่าสนใจกว่าหุ้นที่อยู่ภาคการผลิตครับ

หากเราพิจารณาถึงตัวเลขที่บ่งบอกถึงการเพิ่มขึ้นของระดับราคาซึ่งมีตัวหลักๆ คือ Producer price index ( PPI ) , Wholesale price index ( WPI ) และ Consumer price index ( CPI )

อัตราเงินเฟ้อที่เราดูกันหลักๆ ในประเทศไทยจะมีตัวเดียวคือ CPI หรือ Consumer price index ซึ่งเป็นราคาที่ผู้บริโภคขั้นสุดท้ายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการ

แต่ในสหรัฐอเมริกา นักลงทุนจะสนใจตัวเลขทั้ง 3 ตัวคือ PPI WPI และ CPI

ตัวเลข PPI หรือ Producer price index เป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงต้นทุนของผู้ผลิตซึ่งจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างเช่น ราคาวัตถุดิบ ค่าแรงขั้นต่ำ ประสิทธิภาพในการผลิต เป็นต้น

การที่ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เช่น เหล็ก พลาสติก ทองแดง ปรับเพิ่มขึ้นก็ได้ทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มขึ้นมาก จึงส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มขึ้นมากในช่วงระยะเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา

แต่ในขณะเดียวกัน การที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นได้ทำให้ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ได้มีความสามารถที่จะรับสภาพการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าได้ไม่มากนัก ดังนั้นแม้ว่าต้นทุนการผลิตจะเพิ่มขึ้น แต่ผู้ผลิตในภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จึงไม่สามารถเพิ่มราคาขายได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ทั้งหมด เพราะหากเพิ่มราคาขายตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลต่อปริมาณการขายที่ลดลง ผู้ผลิตหลายรายก็ได้พยายามปรับตัวด้วยมาตรการการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต

ด้วยเหตุผลที่การปรับขึ้นราคาสินค้าของผู้ผลิตทำได้น้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของต้นทุน จึงทำให้ตัวเลขการเพิ่มขึ้นของ CPI ซึ่งสะท้อนถึงราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าตัวเลข PPI ซึ่งสะท้อนถึงการเพิ่มขึ้นของต้นทุนของผู้ผลิต

หากเราให้ margin ของผู้จัดจำหน่ายคือ Wholesaler คงที่ เราจะได้ว่าการที่ CPI เพิ่มน้อยกว่า PPI จะทำให้อัตราการทำกำไรของผู้ผลิตแย่ลง ซึ่งสะท้อนถึงตัวเลขอัตราการทำกำไร คือ gross profit ของผู้ผลิตต่างๆ มีแนวโน้มที่จะลดลง

อย่างไรก็ตาม ก็มีผู้ผลิตบางรายที่มี brand สินค้าที่แข็งแกร่ง และมีอำนาจต่อรองกับลูกค้าสูง จึงสามารถเพิ่มราคาขายได้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และยิ่งหากสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตก็จะทำให้ปริมาณการขายไม่ลดลง ผู้ผลิตเหล่านี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นมากนัก

ผู้ผลิตที่มีลักษณะของการรับจ้างผลิต ซึ่งเป็นการผลิตในขั้นกลาง หรือผลิตสินค้าที่ผู้ผลิตแต่ละรายไม่มีความแตกต่างกันนัก จะเป็นผู้ผลิตที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภาวะต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

ในขณะเดียวกัน ธุรกิจในภาคบริการ เช่น โรงแรม โรงพยาบาล ร้านอาหาร จะมีแนวโน้มที่จะปรับราคาตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้มากกว่า โดยเฉพาะหากธุรกิจนั้นๆ ได้รับความนิยมสูง และจับลูกค้าที่มีกำลังซื้อ เนื่องจากลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่ไม่คำนึงถึงราคาที่เพิ่มขึ้นหากได้รับบริการที่น่าพึงพอใจ ผมเชื่อว่าคนไข้ส่วนใหญ่ที่ไปใช้บริการโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ หรือลูกค้าที่ไปรับประทานอาหารในภัตตาคารแพงๆ คงจะไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงกับการเปลี่ยนแปลงของราคามากนัก

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มประเภทสาธารณูปโภค เช่น โทรศัพท์ ไฟฟ้า ประปา ซึ่งมีอำนาจต่อรองกับลูกค้าสูงเนื่องจากเป็นบริการที่จำเป็น และสามารถขึ้นราคาตามต้นทุนวัตถุดิบได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ต้นทุนหลักๆ ของหุ้นกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งคือต้นทุนการวางระบบสาธารณูปโภค เช่น ค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้า ท่อก๊าซ ประปา ระบบสัญญาณโทรศัพท์ จะเป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นไปนานแล้วและรับรู้เป็นต้นทุนในรูปแบบของค่าเสื่อมราคา หุ้นกลุ่มดังกล่าวก็ได้รับผลกระทบน้อยเช่นกัน

ธุรกิจอีกประเภทหนึ่งที่สามารถตั้งราคาขายในลักษณะ cost plus คือ บวกกำไรเข้าไปกับต้นทุน ก็จะเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อค่อนข้างน้อย เนื่องจากจะยังสามารถรักษาอัตราการทำกำไรได้คงที่ในระดับหนึ่ง ธุรกิจดังกล่าวได้แก่ธุรกิจประเภทค้าปลีกและบริษัท trading บางบริษัท

ดังนั้น เมื่อเรามาพิจารณาถึงตลาดหุ้นบ้านเรา และตัดหุ้นพลังงานตัวใหญ่ๆ ที่มีผลต่อดัชนีออกไป จะพบว่าหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและภาคการก่อสร้าง เช่น วัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ บรรจุภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์มีผลกำไรที่ลดลงค่อนข้างมาก ในขณะที่หุ้นในภาคบริการและสาธารณูปโภค รวมไปถึงหุ้นค้าปลีก ส่วนใหญ่ยังมีผลกำไรที่ดีขึ้นหรือไม่แย่ลงไปกว่าเดิมนัก ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มหลังนี้หลายตัวมีราคาปรับตัวสูงขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับต้นปี ในขณะที่หุ้นในภาคการผลิตหลายตัวมีราคาลดลงมาตลอด

ผมเชื่อว่าภาวะดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้นไปอีกหลายปีจากนี้ไป เพราะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นอยู่ ดังนั้นหุ้นกลุ่มบริการ สาธารณูปโภคและค้าปลีก น่าจะเป็นกลุ่มที่น่าจะรักษาความสามารถในการทำกำไรและสร้างผลตอบแทนในรูปแบบของ capital gain และเงินปันผลได้ดีในระดับหนึ่ง ในขณะที่หุ้นในภาคการผลิตน่าจะให้ผลตอบแทนไม่ดีนัก

นอกจากนี้ บริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 โดยส่วนใหญ่จะมีอำนาจต่อรองกับลูกค้ามากกว่าบริษัทที่มีส่วนแบ่งน้อยกว่า รวมไปถึงการมีส่วนแบ่งการตลาดอันดับสูงน่าจะหมายถึงว่าสินค้าและบริการดังกล่าวเป็นที่นิยมของลูกค้า ดังนั้นบริษัทที่จะได้เปรียบจึงเป็นบริษัทขนาดใหญ่ หรือแม้กระทั่งบริษัทขนาดเล็กหรือกลาง แต่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจนั้นๆ

เวลานี้ผมเชื่อว่า profit margin สำคัญกว่ายอดขายแล้วครับ หากยอดขายเพิ่มแต่ขาดทุนก็ไม่มีประโยชน์ครับ P/E ratio อาจจะมีความสำคัญน้อยลงในการตัดสินใจครับ เพราะ P/E กำลังสะท้อนอดีตและปัจจุบัน แต่ไม่ได้สะท้อนถึงอนาคตที่มีความยากลำบากรออยู่ข้างหน้าครับ เราได้เห็นหุ้นหลายตัวที่มีกำไรดีๆ ในปี 2546-2547 มีกำไรลดลงมากหรือขาดทุนในปีนี้ ดังนั้น การลงทุนจากนี้ไป ผมเชื่อว่าคงจะต้อง focus ไปที่คุณภาพของสินค้าและบริการของบริษัทนั้นๆ และอำนาจการต่อรองกับลูกค้า เป็นสำคัญครับ รวมไปถึงความสามารถของผู้บริหารในการจัดการกับปัญหาเรื่องต้นทุนที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น brand value และ premium on management จึงสำคัญกว่า P/E ในภาวะเงินเฟ้อเช่นนี้

*****************************************************
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#8 วันที่: 20/06/2006 @ 05:20:56 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
ที่มา : http://www.thaivi.com/content/view/339/49/

...........................................................................................................

[u:e8cb02a8ad">[b:e8cb02a8ad">สิบกฎเหล็กการลงทุนของแม่ทัพสุมาอี้[/b:e8cb02a8ad">[/u:e8cb02a8ad">[/color:e8cb02a8ad">[/size:e8cb02a8ad">


นั่งสรุปหลักการลงทุนที่ผมยึดถือมาให้อ่านกันแล้วครับ นึกได้แค่ 10 ข้อก่อน ที่จริงอยากเรียกว่า personal biases มากกว่า ไม่อยากเรียกว่าหลักการลงทุนเท่าไร

1. ซื้อก็ต่อเมื่อได้วิเคราะห์ข้อมูลจนมั่นใจว่ามูลค่าตลาดของหุ้นตัวนั้นต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดที่คาดหวังได้ของบริษัทเท่านั้น ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ซื้อมาแล้วไม่ต้องขายเลยก็ยังกำไร (กฎข้อนี้สำคัญมากห้ามผ่าฝืนเด็ดขาด)

2. ทิศทางของราคาหุ้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางทำนายได้ อย่าพยายามทำกำไรด้วยการ BLASH การเทรดหุ้นทุกวันเปรียบเสมือนการกระโจนเข้าใส่เครื่องบดเนื้อ

3. ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์บริษัทและอุตสาหกรรมให้มากที่สุด ไม่ต้องให้ความสำคัญกับการทำนายทิศทางเศรษฐกิจมหภาค เรือทุกลำต้องเผชิญพายุเหมือนกันหมด จงพยายามเลือกเรือลำที่ดีที่สุดแทนที่จะพยายามคาดเดาว่าพายุจะมาเมื่อไร

4. ราคาหุ้นไม่มีความสัมพันธ์กับกำไรในปัจจุบันแต่จะวิ่งไปตามความเชื่อของตลาดว่าพรุ่งนี้กำไรของบริษัทจะเป็นเท่าไร หุ้นที่ขึ้นไม่ใช่หุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี แต่หุ้นที่ขึ้นคือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดีในวันนี้แต่กำลังจะดีขึ้นวันหน้าหรือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีอยู่แล้วและจะดีขึ้นไปอีก

5. หุ้นบูลชิพที่เติบโตช้า แม้ downside จะต่ำ -20% แต่ upside ก็ต่ำด้วย +20% หุ้นเติบโตสูงจึงน่าลงทุนมากกว่าเพราะแม้ว่า downside ของมันอาจจะมากถึง -100% แต่ upside ของมันไม่มีขีดจำกัด (อาจเป็น 200% 500% 1000%...) พอร์ตที่มีหุ้นเติบโตสูงหลายๆ ตัวแม้จะผันผวนมากกว่าแต่จะวิ่งได้ไกลกว่าพอร์ตที่เต็มไปด้วยหุ้นบูลชิพในระยะยาวๆ

6. อย่าให้ความสำคัญกับ dividend yield มากนัก เพราะไม่มีกฎว่าบริษัทต้องจ่ายเงินปันผลเท่าเดิมทุกปี จงสนใจว่าบริษัทเอา retained earnings ไปลงทุนทำอะไรมากกว่า มูลค่าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบริษัทลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเท่านั้น

7. หุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคุ้มค่ากับการเสี่ยงมากที่สุด อย่าเสียเวลาคิดว่าควรแบ่งเงินไปลงตราสารหนี้เท่าไรหุ้นเท่าไร เงินส่วนใหญ่ของคุณควรอยู่ในหุ้นกับเงินสดตลอดเวลา อย่ากลัว market crash เพราะในระยะยาวๆ ไม่มีตลาดหุ้นไหนในโลกที่ไม่สามารถกลับมาสูงกว่าจุดสูงสุดเดิมได้ เพราะเศรษฐกิจในระบอบทุนนิยมโตต้องขึ้นเรื่อยๆ

8. จงละเลยหุ้นที่มีประวัติเรื่องเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือมีพฤติกรรมดูแลราคาหุ้นแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับว่าบริษัทเหล่านั้นมิได้ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์

9. โอกาสในตลาดหุ้นไม่ได้มีมากขนาดหาได้ทุกวันมิฉะนั้นผู้คนคงเลิกทำงานประจำ บริษัทคงเลิกนำเงินไปลงทุนนอกตลาด ในบรรดาหุ้น 20 ตัวที่คุณอยากซื้อในหนึ่งปี จงใช้เงินทั้งหมดที่มีอยู่ซื้อแค่ 1-2 ตัวที่คุณคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดใน 20 ตัวนั้น คุณจะพบว่าคุณจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการแบ่งเงินออกเป็น 20 ส่วนเพื่อซื้อทั้ง 20 ตัว

10. นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จร้อยทั้งร้อยมีความคิดที่เป็นอิสระ ถ้าคุณจอดรอไฟแดงอยู่ที่สี่แยกที่ไม่มีรถวิ่งอยู่ แต่รถคันหลังรุมกดดันคุณด้วยการบีบแตรไล่ให้คุณวิ่งออกไปเลย ถ้าคุณไม่สนใจแรงกดดันนั้นและรอจนไฟเขียวจึงค่อยไป คุณมีแนวโน้มที่จะเล่นหุ้นแล้วประสบความสำเร็จครับ[/color:e8cb02a8ad">

฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#9 วันที่: 20/06/2006 @ 05:30:02 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
Value Way : หุ้นดี ...ดูอย่างไร[/color:849e8fb291">[/size:849e8fb291">


ถ้าท่านศึกษาบทวิเคราะห์ หรือคำแนะนำของโบรกเกอร์ตาม นสพ. ต่างๆจะพบอยู่บ่อยๆ ว่า มักจะมีคำแนะนำของนักวิเคราะห์ให้ซื้อ หุ้นพื้นฐานดี เก็บไว้ลงทุนระยะยาว บางแห่งก็จะบอกชื่อหุ้นให้ซื้อลงทุนเรียบร้อย โดยที่ท่านไม่ต้องไปปวดหัวกับการค้นหา หุ้นพื้นฐานดี อย่างที่กล่าวไว้


ขณะที่นักลงทุนจำนวนมากซื้อหุ้นตามที่มีคนบอก จากนั้นจึงค่อยไปศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจนั้นเพิ่มเติมตามหลัง หรือลงทุนโดยซื้อหุ้นตามที่มีคนแนะนำให้เราซื้อหุ้นตัวนั้นตัวนี้ โดยที่เราไม่ได้เข้าใจ และศึกษาธุรกิจนั้นอย่างถ่องแท้ด้วยตัวเอง


วิธีการดังที่กล่าวมา จึงไม่ใช่วิธีที่ นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investor ควรปฏิบัติ


สำหรับ นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ควรจะทำศึกษาหุ้นตัวนั้นและการบ้านอย่างหนักก่อน ที่จะลงทุนซื้อหุ้นบริษัทไหนสักบริษัทหนึ่ง


การหา หุ้นพื้นฐานดี นั้น ไม่ยากเกินความสามารถและเราสามารถค้นหาได้ด้วยตัวเราเอง ยิ่งถ้าเราเข้าใจในธุรกิจที่เราลงทุนแล้ว เราก็ไม่ต้องไปกังวลกับสภาพของตลาดหุ้น ที่ราคาหุ้นอ่อนไหวไปตาม ความโลภ และ ความกลัว ของอารมณ์นักลงทุนทั้งหลายในตลาด


หุ้นพื้นฐานดีสามารถบอกได้โดยดูจากงบการเงินของบริษัทนั้น ก็คือ งบดุล งบการเงิน และงบกระแสเงินสด โดยดูย้อนหลังไปหลายๆ ปี เพื่อป้องกันการตกแต่งบัญชี และดูความสามารถของบริษัทว่าแข็งแกร่งจริงหรือไม่


วิธีดูหุ้นพื้นฐานดีที่จะกล่าวในที่นี้ จะพูดถึงเฉพาะหุ้นที่มีประวัติการดำเนินงานที่ดี โดยไม่ได้ครอบคลุมถึงหุ้นที่เพิ่งผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ (Turnaround) ที่ผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเวลาไม่นาน


ลักษณะที่ดี 9 ประการของ หุ้นพื้นฐานดี ควรจะมีดังต่อไปนี้


1.มียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

หุ้นที่ดีควรจะมียอดขายที่เติบโตขึ้น ถ้าเติบโตเพิ่มขึ้นได้ทุกปีก็จะดีมาก แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจนั้นมีการขยายตัว และสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมนั้นได้ ส่วนหุ้นที่มียอดขายสาละวันเตี้ยลงทุกปีทุกปี น่าจะเป็นหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง หมายถึงว่า กิจการนั้นกำลังถูกคู่แข่งแย่งตลาดสินค้าไป หรือไม่ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้นก็อาจจะอยู่ในข่ายอุตสาหกรรมตะวันตกดิน (sunset industry) หรือผู้บริหารมีปัญหาในการดำเนินกิจการ แต่ยอดขายเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอที่จะบอกได้ว่าหุ้นนั้นเป็นหุ้นพื้นฐานดีหรือไม่ ต้องใช้ปัจจัยอีกหลายอย่างในการวิเคราะห์ธุรกิจ ดังจะกล่าวต่อไป


2. มีการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่ดี

บริษัทที่มีการควบคุมการดำเนินงานที่ดี เราสามารถตรวจสอบดูได้จากงบกำไรขาดทุน โดยสังเกตจากต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ควรจะไปตามยอดขายของกิจการ ถ้ายอดขายสูงขึ้นค่าใช้จ่ายก็สามารถอนุโลมให้เพิ่มขึ้นได้ตามสัดส่วนยอดขายที่สูงขึ้น แต่ธุรกิจที่ยอดขายลดลงแต่ต้นทุน และค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น นักลงทุนควรจะระวังและถ้าเกิดขึ้นเป็นประจำควรตรวจสอบให้ดีก่อนลงทุนในบริษัทนั้น


3. ไม่ประสบปัญหาขาดทุน

บริษัทที่ดีควรจะมีความสามารถในการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอ บริษัทที่ประสบภาวะขาดทุน เป็นการแสดงให้เห็นถึงการขาดประสิทธิภาพของผู้บริหาร ถ้าขาดทุนตลอดปีหรือไม่ ก็ขาดทุนปีเว้นปี นักลงทุนควรเอาเวลาไปศึกษาธุรกิจอื่นจะดีกว่า ยกเว้นท่านที่ชอบลงทุนใน หุ้นฟื้นคืนชีพ (Turnaround) ที่ขาดทุนมาหลายปีอยู่ดีๆ ก็กลับมาทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ
อันนี้ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน แต่สำหรับท่านที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการลงทุนมากนัก ควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีผลดำเนินงานขาดทุนจะปลอดภัยกว่า


4. เงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก (Positive Working Capital)

ธุรกิจที่ดีควรมีทรัพย์สินหมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียน เพราะธุรกิจควรมีการเตรียมความพร้อมของเงินทุนระยะสั้นให้เพียงพอต่อ การจ่ายคืนหนี้สินระยะสั้น มิฉะนั้นธุรกิจอาจจะมีปัญหาการเงินเกิดขึ้นได้

โดยเฉพาะบริษัทที่ทำการกู้ยืมระยะสั้นมาก อาจจะต้องสำรองเงินสดไว้พอสมควรทีเดียวสำหรับการจ่ายคืนหนี้ที่เรียกเก็บภายใน เวลาไม่นาน ยกเว้นธุรกิจบางประเภท เช่น ธุรกิจค้าปลีก หรือค้าส่ง ที่รับเงินจากการขายให้กับลูกค้าเป็นเงินสด แต่ได้เครดิตจากผู้ผลิตสินค้าเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะจ่ายเงิน

ในกรณีนี้เงินทุนหมุนเวียนอาจจะติดลบได้ ซึ่งกลับกลายเป็นจุดแข็งสำหรับธุรกิจประเภทนี้เสียอีก เพราะแทนที่จะต้องมีเงินสำหรับของที่อยู่ในสต็อกกลับเป็นผู้ผลิตสินค้าที่จะต้องเป็นคนจ่ายเงินค่าสินค้าคงคลังแทน


5. มีหนี้ไม่มากหรือมีหนี้อยู่ในฐานะที่เหมาะสม

ตัวเลขคร่าวๆ ที่ใช้กันส่วนใหญ่ในการตรวจสอบสภาพหนี้สินของธุรกิจก็คือ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity Ratio) ธุรกิจที่มีหนี้สินต่อทุนสูง แสดงว่า มีการกู้ยืมหนี้ระยะยาวมาก และทำให้ธุรกิจนั้นมีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจสูง อัตราหนี้สินต่อทุนที่พอเหมาะที่ใช้กันทั่วไปคือ น้อยกว่าหนึ่งเท่า หรือไม่เกินสองเท่า


6. มีกำไรสะสม (Retain Earning) เพิ่มขึ้นทุกปี

ธุรกิจที่ดีควรมีกำไรสะสมเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และสามารถนำกำไรสะสมนั้นไปลงทุนต่อให้งอกเงยเพิ่มมากขึ้นจากเดิม ธุรกิจที่มีกำไรสะสมลดลง นักลงทุนควรตั้งคำถามก่อนที่จะลงทุนในบริษัทนั้นว่า บริษัทนำกำไรสะสมนั้นไปใช้ ทำอะไรและมีประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นหรือไม่


7. มีส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholder Equity) เพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ

บริษัทที่สามารถเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอนับว่า เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้บริหารในการนำเงินของบริษัทไปลงทุนในกิจการที่มีประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น ควรหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีส่วนผู้ถือหุ้นลดลงหรือติดลบ แสดงว่า ธุรกิจนั้นที่ผ่านมามีการขาดทุนเกิดขึ้น


8. กำไรต่อยอดขาย (Profit Margin) มากพอสมควร

ธุรกิจที่มีกำไรต่อยอดขายสูง แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนของกิจการในระดับที่ดี แต่กำไรต่อยอดขายสูง อาจจะดึงดูดให้คู่แข่งหน้าใหม่ๆ เข้ามาในอุตสาหกรรมนั้นมากขึ้น

ในขณะที่ธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมมีการแข่งขันสูงส่วนมากจะมีกำไรต่อยอดขายต่ำ เพราะมีการตัดราคาสินค้าเพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้าและบริการของตน ทำให้กำไรของทั้งอุตสาหกรรมลดลง ดังนั้น ธุรกิจที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงก็คือ ธุรกิจที่มีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำ (Cost Leadership)


9. ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity) สูง

ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น คำนวณจาก กำไรหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น (Net Profit/ Equity) ธุรกิจที่มีผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงแสดงว่า ผู้บริหารสามารถบริหารเงินทุนของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่บางธุรกิจที่มีเงินกู้ยืมสูงก็อาจจะทำให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงขึ้นได้ เพราะเงินลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของหนี้สินระยะยาวมากกว่าส่วนผู้ถือหุ้น

ดังนั้น ในบางกรณีอาจจะจำเป็นต้องใช้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (Return on Total Capital) ในการตรวจสอบความสามารถในการดำเนินงานของธุรกิจนั้น จะเหมาะสมมากขึ้น เนื่องจากได้รวมส่วนหนี้สินระยะยาวในการคำนวณไว้ด้วย

ผลตอบแทนต่อเงินลงทุน หาได้จากกำไรหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นและหนี้สินระยะยาว (Net Profit/(Longterm Liability+Equity)) บริษัทที่มีผลตอบแทนต่อเงินลงทุนสูง จะน่าสนใจกว่าบริษัทที่มีอัตราส่วนนี้ต่ำ

การค้นหาลักษณะที่ดี 9 ประการข้างต้นของหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ จะช่วยให้ท่านมีความรู้ความเข้าใจในหุ้นที่ท่านลงทุนมากขึ้น แทนที่จะรอให้คนอื่นหรือนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ตามโบรกเกอร์ต่างๆ มาแนะนำ หุ้นพื้นฐานดี ให้กับท่าน

ท่านสามารถที่จะเริ่มศึกษาและค้นหา หุ้นพื้นฐานดี ได้ด้วยตัวท่านเอง ซึ่งนับว่าเป็นหนทางในการเป็น นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investor ที่ดีทางหนึ่ง
******************
เปลี่ยนประวัติ เป็นคุณวิบูลย์ ด้วยจ้าาาา

--กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 23 - 29 กรกฎาคม 2547--
[u:849e8fb291">[/u:849e8fb291">
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#10 วันที่: 20/06/2006 @ 05:35:11 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
บรรทัดสุดท้ายที่น่าสงสัย[/size:abccdd9833">[/color:abccdd9833">

.........................................................................................................


กำไรของบริษัทนั้นมักเป็นที่สนใจสำหรับนักลงทุนหลายท่านรวมทั้งผมเองด้วย บริษัทจดทะเบียนทุกบริษัทจะต้องรายงานผลประกอบการมาที่ตลาดหลักทรัพย์ทุกๆไตรมาส และกำไรที่บริษัทต่างรายงานมานี่เองก็จะกลายมาเป็นค่า PE ratio ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เป็นที่นิยมของเหล่านักลงทุนทั้งหลาย
นักลงทุนหลายท่านนิยมหาอัตราการเติบโตจากกำไรของบริษัท เพื่อประเมินประสิทธิภาพของกิจการ ความน่าลงทุน ครับ ใครๆก็ต้องการลงทุนในกิจการที่เติบโตต่อเนื่องกันทั้งนั้น เพราะมูลค่าของกิจการมันจะสะท้อนจากผลกำไรทั้งสิ้น


นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อกันมากว่าราคาหุ้นจะต้องปรับตัวขึ้นหากว่าบริษัทจะประกาศผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น แต่จริงแล้วไม่แน่เสมอไปทุกครั้งครับ เพราะว่ามันมีคำถามต่อว่า กำไรที่บริษัทประกาศออกมานั้นมีคุณภาพมากแค่ไหน ไม่แน่ว่าผู้บริหารของบริษัทอาจใช้กลวิธีทางบัญชีสร้างตัวเลขที่สวยหรูเพื่อล่อให้แมงเม่าเข้ามาติดกับดักก็เป็นได้ ทั้งนี้ก็เพราะนักลงทุนหลายท่านยังไม่เข้าใจแท้จริงว่า กำไรที่มีคุณภาพนั้นมีลักษณะอย่างไร วันนี้เราจะมาดูกันว่ามีประเด็นอะไรบ้างที่ทำให้เราต้องพิจารณากำไรที่บริษัทประกาศออกมานั้นมีคุณภาพหรือไม่


การนำเสนอผลดำเนินการของบริษัทจะทำผ่านงบการเงินที่จัดทำตามมาตรฐานการบัญชีที่ผู้บริหารสามารถเลือกได้ว่าจะใช้มาตรฐานใด เช่น การรับรู้รายได้ ในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ สามารถเลือกการรับรู้รายได้ตามสัดส่วนงานที่แล้วเสร็จ หรือ รับรู้รายได้เมื่อได้ส่งมอบงานให้แก่ลูกค้าแล้ว แค่นี้การบันทึกรายได้ ค่าใช้จ่ายก็แตกต่างกันในแต่ละงวดบัญชีแล้วครับ ยังมีอีกหลายส่วนเช่นการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ ส่วนนี้มาตรฐานการบัญชีอนุญาตให้ผู้บริหารพิจารณาตั้งสำรองได้ตามข้อมูลในอดีต การตั้งสำรองในส่วนต่างๆอีกมากมาย สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบกับกำไรของบริษัทอย่างเห็นได้ชัด และเป็นที่นิยมนำมาตบแต่งบัญชีกันมาก


กำไรที่ประกาศออกมานั้นยังไม่ได้หักเงินทุนหมุนเวียน และเงินลงทุนในสินทรัพย์ถาวร แน่นอนว่าเวลาบริษัทซื้อวัตถุดิบ หรือขายสินค้า บริษัทยังไม่ได้จ่ายหรือรับเงินในเวลานั้นๆ แต่การจ่ายหรือรับเงินค่าสินค้านั้นจะเกิดภายหลังรายการนั้น บริษัทจึงจำเป็นต้องมีเงินสำรองเพื่อไว้ชำระค่าสินค้า เงินเดือน อื่นอีกมากมาย การบำรุงรักษา หรือซื้อเครื่องจักใหม่ๆมาใช้ในการผลิตนั้นบริษัทก็จำเป็นจะต้องสำรองเงินเอาไว้สำหรับการนี้เช่นกัน หลายบริษัทประกาศผลประกอบการออกมามีกำไรเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ปริมาณลูกหนี้ก็เกิดขึ้นมากเช่นกัน และบางบริษัทแย่ไปกว่านั้นคือมีการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้สูงกว่าการเติบโตของรายได้ บางบริษัทประกาศกำไรออกมามีกำไรออกมาเพิ่มขึ้น มีการบริหารสินค้าคงเหลือ และการจัดเก็บค่าสินค้าจากลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ กำไรที่เป็นตัวเงินจริงๆนั้นจะสูงกว่ากำไรที่ประกาศออกมามาก อันนี้จะเป็นแต้มต่อของบริษัทนั้นเลยก็ว่าได้ เพราะบริษัทสามารถนำเงินสดส่วนเกินไปใช้ให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ เช่นการซื้อวัตถุดิบเป็นเงินสดจะได้ส่วนลด3% และถ้าเป็นลักษณะอย่างนี้ทุกเดือน ได้ส่วนลดครั้งละ3% ทั้งปีบริษัทสามารถลดต้นทุนได้โดยไม่ต้องทำอะไรมากเลย อันนี้จะส่งผลให้กำไรเติบโตได้ดี มูลค่าของกิจการจะเพิ่มขึ้นได้อีกมาก


กำไรที่ประกาศออกมานั้นไม่ได้หักผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อเอาไว้ แน่นอนครับว่าในทุกประเทศย่อมมีอัตราเงินเฟ้อโดยเฉพาะบ้านเราเวลานี้อัตราเงินเฟ้อสูงเอาเรื่อง บริษัทที่ประกาศผลกำไรออกมาถ้าเติบโตแล้วพอๆกับอัตราเงินเฟ้อก็เห็นทีว่าบริษัทนั้นก็ไม่ได้โตอะไรเลย ยิ่งแย่ไปกว่านั้น
บางบริษัทโตน้อยหรือขาดทุน บริษัทนั้นเท่ากับถูกลดมูลค่าลงในทันที จึงไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไรที่เมื่อต่างชาติขายหุ้นแม้ว่าPEบ้านเราจะต่ำจนไม่รู้จะต่ำอย่างไงแล้ว ก็ยังไม่น่าสนใจสำหรับต่างชาติเลย


สิ่งที่ผมกำลังจะบอกต่อไปคือ ไอ้เจ้าบรรทัดสุดท้ายที่ชอบดูกันนี่ จะดูกันต่อไปก็ไม่ผิดกติกา แต่ขอให้นำข้อสังเกตง่ายๆสามข้อนี้ไปพิจารณาด้วยครับ เพื่อการคำนวณหาค่า PE Ratioที่ได้นั้นจะสะท้อนค่าที่น่าเชื่อถือ และสามารถนำไปประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างดี และที่สำคัญอย่าลืมนะครับว่า การคำนวณค่าPE Ratioนั้นเป็นการนำเอาสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตมาใช้ มันไม่ได้หมายความว่ากำไรในอนาคตนั้นจะดีกว่าหรือแย่กว่ากำไรที่เกิดขึ้นมาแล้ว ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำคือการประมาณกำไรในอนาคตเพื่อหาค่าPE Ratio ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องเข้าใจธุรกิจนั้นๆดีเอามากๆไม่อย่างนั้นไม่มีทางถูกได้แน่ๆ และจะเกิดปัญหาตามมาว่า ทำไมหุ้นนี้PEก็ต่ำแต่ราคาเอาแต่ลงไม่เห็นขึ้นสักที อย่างในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและเดินเรือที่นักวิเคราะห์ตะบี้ตะบันเชียร์กันจนเลิกไปแล้วนี่ไง ผมจะบอกให้ก็ได้ว่านักลงทุนที่เขาเข้าใจธุรกิจนั้นเขาขายออกกันไปหมด ราคาก็ลงมาแล้ว แต่กำไรของกิจการนั้นสามเดือนออกที และจะค่อยๆลดลงมารู้อีกทีกำไรทั้งปีลดไปมาก แต่เราเอากำไรของสามไตรมาสก่อนมาเฉลี่ยเป็นกำไรทั้งปีซึ่งกำไรสามไตรมาสก่อนยังสูงมาเฉลี่ยไตรมาสปัจจุบันที่ต่ำลงตัวเลขเฉลี่ยก็ยังสูงกว่า ดังนั้นเมื่อราคาลดลง กำไรเฉลี่ยในอดีตยังสูงอยู่ PE Ratioก็ยังต่ำอยู่นั้นเอง และเชื่อผมไหมว่าราคาหุ้นเหล่านี้จะยังคงถูก(PE ต่ำ)ต่อไปอีกนาน เพราะมันเป็นของที่ไม่น่าสนใจแล้วไงละครับ จึงไม่ค่อยมีใครซื้อและกล้าให้ราคาแพงๆอีกนาน[/color:abccdd9833"> ที่มา : Written by มนตรี นิพิฐวิทยา
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#11 วันที่: 20/06/2006 @ 05:44:57 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
[u:5e53d7491e">[b:5e53d7491e">Value Way : ลงทุนแบบเบนจามิน เกรแฮม[/color:5e53d7491e">[/size:5e53d7491e">[/b:5e53d7491e">[/u:5e53d7491e">



สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ เบนจามิน เกรแฮม เพราะในวงการการลงทุนของโลกถือว่า ท่านอาจารย์เกรแฮม เป็นผู้บุกเบิก การวิเคราะห์ หลักทรัพย์สมัยใหม่ เมื่อปี 1934 ราวๆ 70 ปีที่แล้วด้วยหนังสือ Security Analysis ที่เป็นผลมาจากการรวบรวมการบรรยายของ อ.เกรแฮม ในช่วงที่ทำการสอน ชั้นเรียนปริญญาโท ของมหาวิทยาลัย Columbia ที่นิวยอร์ก ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งหนังสือเล่มดังกล่าว ยังคงมีการตีพิมพ์เผยแพร่ มาจนถึงทุกวันนี้

ในชั้นเรียนดังกล่าว มีลูกศิษย์สมัครเข้าไปเรียนกันมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ วอร์เรน บัฟเฟต ซึ่งต่อมากลายเป็นนักลงทุนมือหนึ่งที่มีทรัพย์สินมากมายมหาศาลเป็นอันดับสองของโลก บัฟเฟตร่ำรวยมาจากการใช้หลักการลงทุนตามแบบที่ อ.เกรแฮม แนะนำเอาไว้ ด้วยการลงทุนในการซื้อหุ้นบริษัทต่างๆ ทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ผ่านบริษัทที่ชื่อ Berkshire Hathaway


การลงทุนตามแบบ วอร์เรน บัฟเฟตนั้น มีหนังสือที่เกี่ยวข้องทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษวางขายตามร้านหนังสือต่างๆ ทั่วไป ท่านผู้อ่านสามารถอ่านและศึกษาการลงทุนตามแบบวอร์เรน บัฟเฟต อย่างไม่ยากนักด้วยมีการแปลเป็นภาษาไทยออกมาหลายเล่มด้วยกัน โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่แล้ว ที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยผ่านการทำสถิติสูงสุดในรอบหลายปี


แต่ถ้าศึกษาลึกเข้าไปจะพบว่า การลงทุนแบบเบนจามิน เกรแฮมแท้ๆนั้น มีข้อแตกต่างจาก การลงทุนแบบวอร์เรน บัฟเฟต อยู่หลายประการด้วยกัน


ดังนั้นจะกล่าวถึงวิธีการลงทุนตามแบบต้นตำรับของ
อาจารย์เบนจามิน เกรแฮม ว่ามีอะไรที่แตกต่างไปจากการลงทุนแบบ วอร์เรน บัฟเฟตบ้าง ซึ่งสามารถสรุปคร่าวๆ ได้ดังต่อไปนี้


[u:5e53d7491e">หนึ่ง[/u:5e53d7491e"> เกรแฮมตัดสินใจลงทุนด้วยงบการเงินเพียงอย่างเดียว

นอกเหนือจากการวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทนั้นแล้ว ก่อนจะตัดสินใจลงทุนในบริษัทใดบริษัทหนึ่ง วอร์เรน บัฟเฟต จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากงบการเงิน เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจอย่างมาก เช่น ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในอุตสาหกรรมนั้นๆ หรือ คุณภาพของแบรนด์และตราสินค้ายี่ห้อของบริษัท เช่น โค้ก หรือ ยิลเลต ที่ไม่มีคู่แข่งรายใดสามารถครองตลาดได้เท่าเทียมได้เป็นเวลานาน

ส่วนเกรแฮม จะคำนึงถึง งบการเงิน เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก โดยจะเปรียบเทียบบริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ด้วยการวิเคราะห์บริษัทผ่านทางงบการเงินล้วนๆ โดยเฉพาะจากงบกำไรขาดทุน และงบดุล (งบกระแสเงินสดยังไม่ได้มีการจัดทำเป็นมาตรฐานในสมัยนั้น) โดยไม่ได้สนใจในการวิเคราะห์เชิงปริมาณและคุณภาพของบริษัทนั้นมากนัก

เกรแฮมให้ความสำคัญกับ งบดุล ค่อนข้างสูงกว่า งบกำไรขาดทุน เพราะเชื่อว่างบกำไรขาดทุนนั้น สามารถทำการตกแต่งบัญชีได้ง่ายกว่า แต่กับงบดุลแล้วการพลิกแพลงทางบัญชีจะมีผลน้อยกว่างบกำไรขาดทุน

ยกตัวอย่างเช่น บริษัทอาจจะทำให้ กำไร ในปีนั้นเพิ่มขึ้นมากจากการรับรู้รายได้ของสินค้า ที่ถูกส่งไปให้ผู้จัดจำหน่าย โดยบันทึกเป็นยอดขายในปีนั้นทันทีโดยที่ยังอาจจะเก็บเงินไม่ได้ ซึ่งใน งบกำไรขาดทุน จะแสดงว่าบริษัทมีการรับรู้รายได้และกำไรจากการดำเนินงานในปีนั้น แต่ถ้าสังเกตดูในงบดุล จะเห็นว่ารายได้ดังกล่าวยังอยู่ใน ลูกหนี้หมุนเวียน ของบริษัทเท่านั้น ยังไม่ได้กลายมาเป็น เงินสด ในมือแต่อย่างใด ซึ่งงบดุลจะแสดงได้ถูกต้องตรงความเป็นจริงมากกว่าที่แสดงไว้ในงบกำไรขาดทุน

การใช้งบดุลเป็นหลักในการวิเคราะห์ ทำให้เกรแฮมให้ความสำคัญกับทรัพย์สินที่จับต้องได้ตามที่แสดงไว้ในงบดุลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในส่วนของเงินสด ทรัพย์สินหมุนเวียน และหนี้สินหมุนเวียน ถ้าพบว่าบริษัทใดมีเงินสดหลังจากหักหนี้สินต่างๆ แล้วมากกว่าราคาหุ้น ก็หมายความว่า การลงทุนในบริษัทนั้นถึงแม้บริษัทจะล้มละลาย ผู้ถือหุ้นหรือนักลงทุนก็ยังคงมีเงินสดเหลือจากการจ่ายหนี้ทั้งหมดแล้ว เรียกว่า ซื้อหุ้นแบบนี้แล้วปลอดภัย 100%


ในช่วงแรกๆ บัฟเฟตก็ใช้กฎเกณฑ์การลงทุนตามแบบอาจารย์เกรแฮมอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการวิเคราะห์บริษัทจากงบการเงินซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แตในภายหลังก็ได้ปรับปรุงวิธีการลงทุนให้เหมาะสมกับตนเองมากขึ้น

[u:5e53d7491e">สอง[/u:5e53d7491e"> เกรแฮมไม่สัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัท

เกรแฮมเชื่อว่า การสัมภาษณ์ผู้บริหารนั้นจะทำให้นักลงทุนได้รับข้อมูลที่เบี่ยงเบน และเข้าข้างตัวบริษัทมากกว่าที่จะได้ข้อมูลที่เป็นกลาง รวมทั้งผู้บริหารบริษัทส่วนมากมักจะพูดถึงแต่ด้านดีของบริษัทตนเอง ถ้าเป็นไปได้นักลงทุนควรจะหลีกเลี่ยงการสัมภาษณ์ผู้บริหาร

ในขณะเดียวกันนักลงทุนก็สามารถตรวจสอบผู้บริหารได้จากการตรวจดูงบการเงินของบริษัทนั้นย้อนหลังหลายๆ ปี เพื่อจับผิดว่ามีการซ่อนเงื่อนงำอะไรไว้หรือไม่ ถ้าพบว่างบการเงินของบริษัทนั้นไม่ชอบมาพากล ก็สันนิษฐานได้ว่า ผู้บริหารบริษัทนั้นไม่ค่อยโปร่งใสเท่าที่ควร และควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทนั้น

สำหรับเกรแฮมแล้ว ถ้านักลงทุนมีความรู้ทางบัญชีและงบการเงินพอสมควร ก็สามารถตรวจสอบความผิดปกติของผู้บริหารบริษัทจากการวิเคราะห์งบการเงินได้ โดยที่ไม่ต้องไปสัมภาษณ์ผู้บริหารแต่อย่างใด

แต่สำหรับการลงทุนแบบบัฟเฟตแล้ว ผู้บริหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการลงทุนในบริษัทใดบริษัทหนึ่ง เพราะอนาคตของบริษัทขึ้นกับผู้บริหารเป็นส่วนประกอบสำคัญ การตรวจสอบผู้บริหารนั้นไม่ควรจะใช้วิธีการวิเคราะห์จากงบการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ควรจะใช้ข้อมูลอย่างอื่นในการประกอบการพิจารณาผู้บริหารด้วย เช่น การเข้าสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง หรือ จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ เพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือและความสามารถของผู้บริหาร

[u:5e53d7491e">สาม[/u:5e53d7491e"> เกรแฮมจะขายหุ้นถ้าราคาเกินพื้นฐาน

วอร์เรน บัฟเฟต กล่าวอยู่เสมอว่า ระยะเวลาการถือหุ้นของบริษัทที่ตนลงทุนอยู่นั้นก็คือ ตลอดชีวิต นั่นหมายความว่า บัฟเฟตจะไม่ขายหุ้นที่ลงทุนอยู่ถึงแม้ว่าราคาหุ้นของบริษัทนั้นจะมีราคาสูงเกินพื้นฐานไปมากเพียงใดก็ตาม เหตุผลก็คือ ตราบใดที่บริษัทนั้นเป็นบริษัทที่ดี บริหารด้วยผู้บริหารที่มีความสามารถและไว้ใจได้ บัฟเฟตก็จะยังคงถือหุ้นบริษัทนั้นไว้ตลอดไป จะเห็นว่า บัฟเฟตถือหุ้นวอชิงตันโพสต์ไว้จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 30 ปี หรือถือหุ้นโค้กไว้ถึง 20 ปีโดยไม่ได้ขายออกไปแม้แต่หุ้นเดียว

แต่สำหรับเกรแฮม การลงทุนซื้อหุ้นใดๆ ก็ตามจะลงทุนก็ต่อเมื่อราคาต่ำกว่าพื้นฐานมากๆ เรียกว่ายิ่งถูกยิ่งดี ถ้าได้แบบแบกะดินได้ก็ยิ่งดี และเมื่อราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นจนเกินกว่าพื้นฐานที่กำหนดไว้แล้ว เกรแฮมจะขายหุ้นนั้นออกไป แล้วนำไปลงทุนในบริษัทอื่นต่อไป โดยส่วนใหญ่เกรแฮมจะขายหุ้นเมื่อราคาสูงกว่าที่ซื้อลงทุนมาประมาณ 50%

จะเห็นได้ว่า ถึงแม้บัฟเฟตจะยกย่องเกรแฮมว่าเป็นอาจารย์ในการลงทุนของตน และเป็นผู้มีพระคุณเปรียบเหมือนเป็นพ่อคนที่สอง แต่การลงทุนของบัฟเฟตก็มีความแตกต่างจากต้นตำรับ Value Investing อย่างเกรแฮมอยู่หลายประการดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้วิธีการลงทุนจะต่างกัน กองทุนที่ทั้งสองบริหารก็สามารถทำผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญก็คือสามารถชนะผลตอบแทนของตลาดโดยรวมได้เป็นระยะเวลานาน


สำหรับในเมืองไทย เท่าที่ผมรู้จักก็มี คุณ Chatchai ขาประจำของ
www.Thaivalueinvestor.Com ที่มีวิธีการลงทุนแทบจะถอดแบบมาจากอาจารย์เกรแฮมต้นตำรับอย่างไม่ผิดเพี้ยน คุณ Chatchai ลงทุนโดยอาศัยการแกะงบการเงินเพียงอย่างเดียว ตรวจสอบผู้บริหารจากงบการเงิน ไม่ได้สนใจในแบรนด์ของบริษัทแต่อย่างใด และขายหุ้นที่ลงทุนไว้เมื่อราคาสูงเกินพื้นฐาน ที่สำคัญด้วยวิธีการลงทุนเช่นนี้เองที่ทำให้คุณ Chatchai สามารถมีอิสรภาพทางการเงินด้วยอายุเพียง 30 ต้นๆ เท่านั้น


ดังนั้นจากตัวอย่างของคุณ Chatchai ใครที่คิดว่า Value Investing ใช้ไม่ได้ในตลาดหุ้นเมืองไทยคงต้องพิจารณากันใหม่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว การจะตัดสินใจลงทุนแบบไหนก็ขึ้นกับความต้องการและความถนัดของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน

--กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 17 - 23 กันยายน 2547--
[u:5e53d7491e">[/u:5e53d7491e">[/color:5e53d7491e">
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#12 วันที่: 20/06/2006 @ 06:02:49 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
Value Way : ข้อผิดพลาด นักลงทุน(มือใหม่)[/color:c721713fff">[/size:c721713fff">


หลังจากที่ตลาดหุ้นทำสถิติสูงสุด ในรอบหลายปีเมื่อปีที่แล้ว (2546) ในปีนี้มีนักลงทุนหน้าใหม่ เข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ต้องการ ที่จะเข้ามาทำกำไร เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ทำเงินได้มากมาย จากตลาดหุ้น รวมทั้งคาดหวังว่าในปีนี้ จะทำกำไรได้มาก เหมือนกับปีที่ผ่านมา


แต่นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน จะพบว่า ดัชนีตลาดหุ้นติดลบไปประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ จาก 800 จุด ลงมาเหลือ 600 จุด ต้นๆ หุ้นเล็กๆ บางตัวติดลบไปมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ นักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดหุ้นต่างฝันสลายไปตามๆ กัน โอกาสที่จะทำกำไรเหมือนปีที่ผ่านมาช่างน้อยเสียเหลือเกิน


นอกเหนือจากนั้น กลับต้องขาดทุนจากการลงทุนในปีนี้เสียด้วยซ้ำไป บางคนอยากจะได้เงินที่ตนเองขาดทุนไปกลับคืนมา ก็ยิ่งทุ่มเงินหนักเข้าไปมากกว่าเดิม ซึ่งก็ทำให้ขาดทุนเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก ก็เลยกลุ้มใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จนบางคนถึงกับบอกเพื่อนๆ ว่าอย่ามายุ่งกับตลาดหุ้นเลย ถ้าไม่อยากหมดตัว


สำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์แล้ว เหตุการณ์ที่ตลาดตกต่ำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างไร เพราะถ้าตลาดหุ้นขึ้นมาแรง โอกาสที่จะตกลงมาแรงก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว นักลงทุนรุ่นเก่าจึงใช้ประสบการณ์ที่เหนือกว่าพาตนให้รอดจากวิกฤติที่เกิดขึ้นได้


ถึงแม้จะ ขาดทุน ไปบ้าง แต่ก็ไม่เสียหายมากเท่ากับนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาด ความสามารถในการเอาตัวรอดจากตลาดตกต่ำนั้นถือว่า เป็นความสามารถเฉพาะบุคคล ไม่สามารถเลียนแบบกันได้ง่ายๆ เพราะต้องอาศัยจิตใจที่เข้มแข็งพอสมควรที่จะกล้า ?ตัดอวัยวะ? เพื่อรักษา ?ชีวิต?


ถ้าพิจารณาดูจะพบว่า นักลงทุนมือใหม่ที่ขาดทุนจากการลงทุนในตลาดในปีนี้นั้นมีข้อผิดพลาดที่คล้ายๆ กันอยู่ดังนี้


[b:c721713fff">หนึ่ง ทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้[/b:c721713fff">


นักลงทุนมือใหม่ส่วนใหญ่จะไม่สามารถทนถือเงินสดเพื่อรอโอกาสในการลงทุนที่จะมาถึงได้ เพราะคิดว่าการอยู่เฉยๆ คือการเสียโอกาสในการลงทุน หรือคิดว่ายิ่งเวลาผ่านไปโอกาสก็จะยิ่งเหลือน้อยลงเท่านั้น ดังนั้นนักลงทุนมือใหม่ส่วนใหญ่ จึงรู้สึกกระวนกระวายใจเมื่อมีเงินสดอยู่ในมือ และจะต้องขวนขวายหาทางที่จะนำเงินที่มีนั้นไปซื้อหุ้นให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะกลัวจะตกรถไฟ


เมื่อรีบซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดกำลังเป็นขาลง โอกาสที่จะ ?ติดดอย? รับของสูงก็จะมากขึ้น ยิ่งซื้อ ราคาหุ้นยิ่งลง และถ้าเตรียมตัวมาไม่ดีพอก็จะเกิดอาการตื่นตระหนก กลัวจะขาดทุนมากกว่าเดิมก็เลยตัดใจขายหุ้นออกไป แต่เมื่อพอขายไปแล้ว หุ้นกลับดีดตัวขึ้น เป็นเช่นนี้อยู่บ่อยๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา


การที่มือใหม่ไม่สามารถทนถือเงินสดรอได้นั้น อาจจะเป็นเพราะใจยังไม่นิ่งพอ ทำให้การตัดสินใจลงทุนเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่รอบคอบ โอกาสที่จะ ?ขาดทุน? ก็จะมีอยู่สูง


นักลงทุนระดับโลกอย่างวอเร็น บัฟเฟตต์เคยกล่าวเอาไว้ว่า ?บางครั้งการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย ก็นับว่าเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ดีอย่างหนึ่ง?



ดังนั้น นักลงทุนจึงควรที่จะทำใจให้สงบ และไม่ควรกระวนกระวายใจถ้าไม่ได้ซื้อหุ้นหรือลงทุนอะไรสักระยะหนึ่ง ถ้าช่วงนั้นยังไม่มีโอกาสในการลงทุนที่ดีพอ

การนั่งสมาธิ หรือศึกษาพุทธธรรมก็จะช่วยในเรื่องนี้ได้อย่างมากทีเดียว


[b:c721713fff">สอง ไม่ยอมขายขาดทุน[/b:c721713fff">


มีนักลงทุนหน้าใหม่จำนวนมากที่ถือคติ ?ไม่ขายไม่ขาดทุน? ยอมกอดหุ้นที่ราคากำลังร่วงอยู่ไว้โดยคิดว่าสักวันหนึ่งราคาก็จะต้องกลับมาที่เดิม แล้วก็นอนดูราคาหุ้นที่ติดลบแดงทั้งพอร์ตให้เจ็บใจเล่นอยู่ทุกวัน และแล้ว?ราคาหุ้น?บางตัวที่ซื้อไว้ก็ค่อยๆ ลดลงๆ จนโอกาสที่จะกลับมาราคาเท่าเดิมนั้นน้อยเสียเต็มที


ถ้าหุ้นที่ซื้อไว้นั้นเป็นหุ้นที่ดี มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โอกาสที่หุ้นนั้นจะมีราคากลับมาเท่ากับราคาที่ซื้อไว้นั้นก็มีมาก แต่ถ้าหุ้นนั้นเป็นหุ้นที่พื้นฐานไม่ดี หรือเป็นหุ้นเก็งกำไร โอกาสที่ราคาจะกลับมาราคาเท่าเดิมนั้น คงต้องรออีกนานทีเดียว


ถ้าจำกันได้ เมื่อต้นปี ราคาของหุ้น N-Park เคยขึ้นไปสูงสุดถึงหุ้นละ 12 บาทด้วยข่าวดีมากมายที่มาสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัท ปัจจุบันราคาหุ้นดังกล่าว ซื้อขายกันอยู่ที่ระดับราคา 1.2 บาทเท่านั้น ราคาลดลงกว่า 10 เท่าภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี นักลงทุนที่นอนกอดหุ้น N-Park ไว้เพื่อรอวันที่ราคาจะกลับไปเหมือนเดิม คงต้องใช้เวลานานพอสมควรทีเดียว ซึ่งไม่มีใครทราบว่าจะต้องใช้เวลานานสักเพียงใด แต่คาดว่าคงจะไม่ใช่ภายในสิ้นปีนี้ (2547)


ดังนั้น คติที่ว่า ?ไม่ขายไม่ขาดทุน? คงจะไม่จริงเสมอไปทีเดียว ถ้าพบว่าหุ้นที่ซื้อมามีพื้นฐานที่เปลี่ยนไป หรือเป็นหุ้นที่ไม่ดีจริงอย่างที่คิด บางครั้งการขายขาดทุนออกไปก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะถ้าเก็บหุ้นเอาไว้รอราคาวิ่งกลับมาเท่าเดิมอาจจะต้องใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวสามารถนำเงินที่เหลือไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า


บางครั้งการ ?ตัดอวัยวะ?เพื่อรักษา?ชีวิต?ก็เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นในการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะโอกาสที่นักลงทุนจะตัดสินใจผิดนั้นมีได้อยู่ตลอดเวลา แต่นักลงทุนส่วนใหญ่จะไม่ยอมขายหุ้นถ้าขาดทุนก็เพราะเสียดายเงิน รวมทั้งไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด ทั้งยัง ?คาดหวัง? ว่าราคาหุ้นจะกลับมาที่เดิม ซึ่งเป็นการเข้าข้างตัวเองมากกว่าที่จะมองความจริง ซึ่งถ้าหุ้นนั้นไม่ดีจริง โอกาสที่ราคาจะกลับมาที่เดิมนั้นคงมีไม่มากนักในระยะเวลาสั้นๆ


[b:c721713fff">สาม ไม่เข้าใจหุ้นที่ลงทุนดีพอ [/b:c721713fff">

นักลงทุนมือใหม่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้วิเคราะห์หุ้นที่จะลงทุนด้วยตนเอง ส่วนใหญ่มักจะซื้อหุ้นที่มีคนแนะนำ
ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญการลงทุนตามเวบไซต์ต่างๆ นักวิเคราะห์ โบรกเกอร์ ญาติ หรือเพื่อนๆ ที่มากระซิบบอกใบ้หุ้นเป็นรายตัว ให้ซื้อหุ้นนั้น หุ้นนี้ ราคาจะวิ่งไปเท่านั้นเท่านี้


เมื่อไม่ได้วิเคราะห์หุ้นที่จะลงทุนด้วยตนเอง จึงไม่เข้าใจในปัจจัยต่างๆ ที่จะมากระทบต่อพื้นฐานของหุ้นนั้นๆ และเมื่อผสมโรงกับตลาดที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง ทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นที่ซื้อไว้นั้นจะมีราคาลดลงมีอยู่มากทีเดียว และเมื่อราคาหุ้นลดลง


นักลงทุนมือใหม่ก็ไม่สามารถที่จะพิจารณาได้ด้วยตนเองว่าจะถือหุ้นตัวนั้นไว้ หรือจะซื้อเพิ่ม หรือจะขายออกไปดี เมื่อยังตัดสินใจไม่ได้ก็เลยถือหุ้นตัวนั้นไว้ จนราคาหุ้นค่อยๆลดลงๆมาอยู่ในระดับที่เกินกว่าจะ ?ตัดใจขาย? ออกไปได้ สุดท้ายก็ต้องนอนกอดหุ้นไว้เพื่อรอวันที่ราคาหุ้นจะกลับมาเท่าเดิม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน


การที่ไม่เข้าใจหุ้นที่จะลงทุนดีพอ รวมทั้งการที่ไม่ได้วิเคราะห์หุ้นด้วยตนเอง ทำให้นักลงทุนมือใหม่หลายคนต้อง ?ขาดทุน? จากการลงทุนในช่วงที่ผ่านมามากพอสมควร


ดังนั้น [u:c721713fff">นักลงทุนมือใหม่จึงควรที่จะศึกษาหาความรู้ให้มากก่อนที่จะเข้าตลาดหุ้น ฝึกทำการวิเคราะห์หุ้นด้วยตนเอง แทนที่จะไปเชื่อในสิ่งที่นักวิเคราะห์หรือคนอื่นๆ บอกมาทั้งหมด[/u:c721713fff">

ทั้งยังจะต้องฝึกจิตใจให้สงบ ไม่ให้ฟุ้งซ่านหรือกระวนกระวายใจเมื่อไม่ได้ซื้อหุ้นอะไรสักหุ้นหนึ่งเป็นเวลานานๆ และ

[b:c721713fff">ที่สำคัญ
?การขายขาดทุน? นั้น บางครั้งก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำในการลงทุน[/b:c721713fff">

ถ้าทำได้ดังที่กล่าวมา นักลงทุนมือใหม่ก็จะมีเกราะป้องกันตนเองจากการตกต่ำของตลาดหุ้น รวมทั้งสามารถเอาตัวรอดได้เมื่อมีเหตุการณ์วิกฤติเกิดขึ้นในคราวต่อไป ส่วนที่ผ่านมาในปีนี้ เงินที่ ขาดทุน ไปก็ถือว่าจ่ายเป็น ค่าเล่าเรียน? เกี่ยวกับการลงทุนสักคอร์สก็แล้วกัน ถึงแม้ค่าเล่าเรียนคราวนี้จะแพงไปสักหน่อยก็ตาม

--กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 12 - 18 พฤศจิกายน 2547
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#13 วันที่: 20/06/2006 @ 06:11:49 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
--กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 10 - 16 ธันวาคม 2547--[/size:1f70a3c5ed">

Value Way : ลงทุนอย่าง พอเพียง[/color:1f70a3c5ed">[/size:1f70a3c5ed">


เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ราวๆ ปี 2536-37 ตลาดหุ้นไทยเป็นขาขึ้นมาโดยตลอด หุ้นขึ้นทุกวัน ช่วงนั้นไม่มีใครไม่พูดถึงเรื่องหุ้น แม้แต่นักเรียนนักศึกษายังขอเงินพ่อแม่มาซื้อขายหุ้น คนทำงานมีเงินเก็บทุกคนต้องมีหุ้นติดไม้ติดมือกันแทบจะทุกคน ใครไม่ซื้อหุ้นถือว่าล้าหลังไม่ทันสมัย จนคนที่มีความคิดอนุรักษนิยมที่สุดยังหักห้ามใจไม่ไหว ต้องถอนเงินจากแบงก์มาซื้อหุ้นกับชาวบ้านเขาด้วย


ไม่มีใครอยากตกรถไฟเที่ยวนั้น


นอกเหนือจากตลาดหุ้นแล้ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็มีการเก็งกำไรอย่างสุดขั้ว โครงการบ้านใหม่ๆ ทำสถิติยอดขายทะลุเป้าแทบจะทุกวัน เพราะถ้าไม่ซื้อวันนี้ พรุ่งนี้ราคาจะเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ทุกคนมุ่งไปที่การเก็งกำไรบ้านและที่ดินเปล่า แม้แต่ที่ดินไกลๆ ไม่มีใครรู้จักก็มีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ทุกคนคิดอยู่อย่างเดียวว่า ราคาที่ดินมีแต่จะเพิ่มขึ้น ไม่มีวันที่ราคาที่ดินจะลดลงได้อีกแล้วบ้านที่สร้างเสร็จส่วนใหญ่จะไม่มีคนอยู่อาศัย เพราะคนที่ซื้อบ้านมาจำนวนมากเพียงแค่ต้องการซื้อมาเพื่อขายต่อเท่านั้นเอง


ช่วงเวลานั้นเงินกลายเป็นของหาง่าย เข้าตลาดหุ้นไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เงินออกมาเป็นกอบเป็นกำ ไม่มีใครมองโลกในแง่ร้าย เงินที่หามาก็ใช้ไปอย่างง่ายดายราวกับไม่มีวันพรุ่งนี้ รวมทั้งเศรษฐกิจประเทศไทยกำลังรุ่งโรจน์ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าร้อยละ 10 ต่อปี เป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน ทุกคนมองไปข้างหน้าอย่างเต็มไปด้วยความหวัง รวมทั้งคาดว่าประเทศไทยจะกลายเป็น เสือเศรษฐกิจตัวใหม่? ของเอเชีย


แต่แล้วการลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540 ทำให้เศรษฐกิจไทยเกิดอาการฟองสบู่แตก ธุรกิจต่างๆ ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โครงการต่างๆ หยุดชะงัก บ้านและที่ดินราคาเริ่มตกต่ำลง รวมทั้งตลาดหุ้นที่ทำสถิติสูงสุดที่ 1,700 จุด


เมื่อปี 2537ก็ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียง 200 จุดภายในเวลาไม่กี่ปี นักลงทุนที่เข้าตลาดหุ้นจำนวนมากต้อง ขาดทุน? และมองเห็นเงินที่ตนเองอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาสูญสลายไปในพริบตา โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นกิจการไฟแนนซ์ที่ถูกทางการสั่งปิด


มีคนเคยกล่าวไว้ว่า?คนไทยลืมง่าย? แต่ก็หวังว่าทุกท่านคงยังไม่ลืมในเรื่องที่ได้กล่าวมาข้างต้น การเก็งกำไรและความฟุ้งเฟ้อทำให้เกิดวิกฤติในสังคมไทย การล่มสลายของเศรษฐกิจทำให้ผู้คนเริ่มหันมาสนใจในแนวทางพระราชดำริในเรื่องของ ?เศรษฐกิจพอเพียง? มากขึ้น


ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงนั้นมุ่งเน้นไปที่การดำรงชีวิตอยู่อย่างสมบูรณ์พอเพียง ไม่ทำอะไรที่เกินความพอดีหรือเกินความต้องการของตนเอง เน้นไปที่การพึ่งตนเองและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างสังคมและชุมชนต่างๆ โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะนำทฤษฎีนี้ไปประยุกต์ใช้ในการเกษตรกรรม เพื่อให้เกษตรเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ โดยที่ไม่ต้องอาศัยเงินกู้หรือพึ่งพาเทคโนโลยี่ที่เกินความจำเป็น ช่วยให้เกษตรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและชุมชนกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข


จริงๆ แล้ว ?ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง? นั้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องต่างๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการดำเนินชีวิตประจำวัน การเมือง กฎหมาย เศรษฐกิจ หรือแม้แต่การลงทุนในตลาดหุ้น


เรามาดูกันว่าเราจะสามารถลงทุนอย่าง ?พอเพียง? ได้อย่างไรบ้าง


[u:1f70a3c5ed">[b:1f70a3c5ed">หนึ่ง อย่าโลภ[/size:1f70a3c5ed">[/b:1f70a3c5ed">[/u:1f70a3c5ed">

ความโลภเป็นศัตรูตัวร้ายของทั้งนักลงทุนและนักเก็งกำไร เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกโลภจะทำให้เราระมัดระวังตัวน้อยลง เมื่อเราลืมนึกถึงเหตุผลในการลงทุน โอกาสผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และเมื่อความผิดพลาดเกิดขึ้นก็สามารถทำให้เรา ?ขาดทุน? จากการลงทุนนั้นได้

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าลงทุนด้วยเงินหนึ่งล้านบาทในการซื้อขายหุ้น ได้กำไรมาหนึ่งแสนบาท คิดเป็น 10% ของเงินลงทุน นักลงทุนที่เริ่มมี ?ความโลภ?จะพูดกับตัวเองว่า ?นี่ ถ้าลงเงินสิบล้านก็ได้หนึ่งล้านบาทไปแล้ว? จากนั้นด้วยความโลภ ในการลงทุนครั้งต่อไป นักลงทุนจึงทุ่มเงินซื้อหุ้นไปสิบล้านบาท

แต่ปรากฏว่า ในการลงทุนครั้งนี้ ราคาหุ้นได้ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องขายขาดทุนไป 5% หรือคิดเป็นเงินห้าแสนบาท นั่นหมายความว่า กำไรที่ได้มาในครั้งแรกต้องสูญไปทั้งหมด รวมทั้งต้องขาดทุนมากกว่าเดิมอีกด้วย


การลงทุนอย่าง ?พอเพียง? จึงจำเป็นต้องควบคุม ?ความโลภ? ของตนเองไว้ให้ได้ โดยเฉพาะอย่าให้ความโลภครอบงำจิตใจเมื่อต้องตัดสินใจในการลงทุน ถ้าทำได้โอกาสที่จะขาดทุนมากกว่ากำไรที่ได้มาก็จะน้อยลง


[u:1f70a3c5ed">[b:1f70a3c5ed">สอง ตั้งเป้าหมายในการลงทุนที่สมเหตุสมผล[/size:1f70a3c5ed"> [/b:1f70a3c5ed">[/u:1f70a3c5ed">

นักลงทุนจำนวนมากตั้งเป้าหมายในการลงทุนไว้สูงเกินกว่าที่จะเป็นไปได้ เช่น ตั้งเป้าหมายในการลงทุนว่าจะต้องได้กำไรมากกว่าปีละ 100% ซึ่งถ้าเป็นตลาดปี 46 ที่ตลาดหุ้นขึ้นมามากๆ ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่โอกาสเช่นนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ

การตั้งเป้าหมายที่สูงเกินไปทำให้นักลงทุนต้องเสี่ยงมากกว่าปกติ รวมทั้งโอกาสที่จะ ?ขาดทุน? ก็จะสูงตามขึ้นไปด้วย ตัวอย่างเช่น แทนที่นักลงทุนจะลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี ก็จะหันไปลงทุนใน ?หุ้นเก็งกำไร? เพื่อที่ต้องการทำผลตอบแทนให้มากขึ้นในระยะเวลาสั้น ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้าไปเก็งกำไรมักจะ ?บาดเจ็บ? ออกมาซะมากกว่า เป็นเพราะความผันผวนของราคาหุ้นที่สูงมาก ถ้าเข้าออกผิดจังหวะเพียงนิดเดียวก็หมายถึงการขาดทุนทันที

ดังนั้น ถ้าจะลงทุนอย่าง ?พอเพียง? จำเป็นจะต้องตั้งเป้าหมายในการลงทุนให้สมเหตุสมผล ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เพราะกฎข้อที่หนึ่งของการลงทุนคือ อย่าขาดทุน ดังนั้นการตั้งเป้าหมายที่ไม่สูงเกินไปจะช่วยให้โอกาสในการขาดทุนจากการลงทุนน้อยลง


[u:1f70a3c5ed">[b:1f70a3c5ed">สาม ไม่เครียดกับการลงทุน[/b:1f70a3c5ed">[/u:1f70a3c5ed">[/size:1f70a3c5ed">


ถ้าการลงทุนในตลาดหุ้นทำให้ท่านต้องวิตกกังวลหรือนอนไม่หลับ นั่นหมายความว่าท่านเริ่ม ?เครียด? กับการลงทุนมากเกินไปแล้ว บางท่านซื้อหุ้นมาก็กังวลว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงแล้วจะขาดทุน เลยจำเป็นต้องเฝ้าดูหน้าจอหรือโทรคุยกับโบรกเกอร์ตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะการซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นนั้น ราคาหุ้นมีความเปลี่ยนแปลงสูงมาก ถ้าพลาดแม้เพียงไม่กี่นาที กำไรที่เคยมีอาจจะกลายเป็นขาดทุนได้ในพริบตา ดังนั้นนักเก็งกำไรจึงจำเป็นต้องติดตามราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องถือหุ้นข้ามวันก็เลยทำให้ต้องคิดมาก นอนไม่หลับเพราะกลัวพรุ่งนี้จะมีข่าวร้ายทำให้หุ้นตก


ถ้าท่านรู้สึกวิตกกังวลกับการลงทุน วิธีหนึ่งที่จะช่วยได้คือ ลดจำนวนเงินที่ซื้อขายลงจนอยู่ในระดับที่ท่านไม่ต้องกังวล นั่นหมายความว่า กำไรที่ท่านจะได้รับก็จะลดลงตามไปด้วย แต่ก็ช่วยให้ท่านไม่ต้องคิดมากจนนอนไม่หลับ
( ใช้คลายเครียด ratio ช่วย )

นอกเหนือจากทั้งสามข้อที่กล่าวมาแล้วนั้น ท่านยังสามารถประยุกต์ใช้ ?ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง?[/size:1f70a3c5ed"> กับการลงทุนของท่านได้ ซึ่งถ้าทำได้จะช่วยให้ท่านรู้สึกเพียงพอและมีความสุขกับการลงทุนมากขึ้น


--กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 10 - 16 ธันวาคม 2547--
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#14 วันที่: 20/06/2006 @ 06:28:28 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
กระทู้นี้เกิดขึ้นก็เพราะ ประโยค ข้างล่างนี้จริงจริง[/color:35ca575be0">



[b:35ca575be0"> สิ่งที่ผมแปลกใจคือ ทำไมคนไทยส่วนใหญ่จึงมีความรู้เรื่องการลงทุน การบริหารเงินออม โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นน้อยมาก แม้ว่านักศึกษาที่จบมาจากสาขา finance ก็ไม่มีความรู้ทางการลงทุนเท่าที่ควรนัก ซึ่งไม่ต้องหวังอะไรกับนักศึกษาที่จบจากสาขาอื่นเลย แสดงว่าประเทศไทยยังล้มเหลวในการระบบการศึกษาพอสมควรครับ [/color:35ca575be0">[/size:35ca575be0">[/b:35ca575be0">


[b:35ca575be0">*** ต้องขอขอบคุณท่านผู้เขียนบทความข้างต้นทุกท่านที่สละเวลามาเขียนบทความดีดี เพื่อให้ความรู้ที่สำคัญ และ มีประโยชน์ต่อทุกคนที่หวังจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ .....ขออนุญาติรวบรวมบางส่วนมาไว้ที่นี่ เพื่อให้เป็นประโยชน์มากขึ้น... มิได้มีเจตนาลอกเลียนเพื่อประโยชน์ส่วนตนแต่ประการใด... ดังนั้นหากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ต้องกราบขออภัยมาณ ที่นี้ด้วย ***[/color:35ca575be0">[/b:35ca575be0">

ด้วยความเคารพ[/color:35ca575be0">

คนไทยคนหนึ่ง[/size:35ca575be0">

.................................
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#15 วันที่: 20/06/2006 @ 06:45:49 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
[b:a93bf575b0">ปล. อย่าลืมแวะไป TEMPLE BOXING SCHOOL ด้วยนะ ..ที่โรงเรียนนั้นก็มีทีเด็ด ให้เรียนรู้อยู่เยอะครับท่าน

ด้วยความนับถือ

...........[/color:a93bf575b0">[/b:a93bf575b0">[/size:a93bf575b0">


จบกระทู้....(ขออภัยที่ใช้เนื้อที่มากพอสมควร)
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#16 วันที่: 20/06/2006 @ 09:39:36 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
ฟฟฟฟ3 .0005 .0004
 กลับขึ้นบน
mr.w
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 490
#17 วันที่: 20/06/2006 @ 12:18:11 : re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
ช่วงนี้เก็บข้อมูลไปก่อนนะครับ คิกคิก

ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#18 วันที่: 08/02/2007 @ 02:09:57 : Re: re: เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
[quote:722553f763=บุคคลทั่วไป">บรรทัดสุดท้ายที่น่าสงสัย[/size:722553f763">[/color:722553f763">

.........................................................................................................


กำไรของบริษัทนั้นมักเป็นที่สนใจสำหรับนักลงทุนหลายท่านรวมทั้งผมเองด้วย บริษัทจดทะเบียนทุกบริษัทจะต้องรายงานผลประกอบการมาที่ตลาดหลักทรัพย์ทุกๆไตรมาส และกำไรที่บริษัทต่างรายงานมานี่เองก็จะกลายมาเป็นค่า PE ratio ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เป็นที่นิยมของเหล่านักลงทุนทั้งหลาย
นักลงทุนหลายท่านนิยมหาอัตราการเติบโตจากกำไรของบริษัท เพื่อประเมินประสิทธิภาพของกิจการ ความน่าลงทุน ครับ ใครๆก็ต้องการลงทุนในกิจการที่เติบโตต่อเนื่องกันทั้งนั้น เพราะมูลค่าของกิจการมันจะสะท้อนจากผลกำไรทั้งสิ้น


นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อกันมากว่าราคาหุ้นจะต้องปรับตัวขึ้นหากว่าบริษัทจะประกาศผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น แต่จริงแล้วไม่แน่เสมอไปทุกครั้งครับ เพราะว่ามันมีคำถามต่อว่า กำไรที่บริษัทประกาศออกมานั้นมีคุณภาพมากแค่ไหน ไม่แน่ว่าผู้บริหารของบริษัทอาจใช้กลวิธีทางบัญชีสร้างตัวเลขที่สวยหรูเพื่อล่อให้แมงเม่าเข้ามาติดกับดักก็เป็นได้ ทั้งนี้ก็เพราะนักลงทุนหลายท่านยังไม่เข้าใจแท้จริงว่า กำไรที่มีคุณภาพนั้นมีลักษณะอย่างไร วันนี้เราจะมาดูกันว่ามีประเด็นอะไรบ้างที่ทำให้เราต้องพิจารณากำไรที่บริษัทประกาศออกมานั้นมีคุณภาพหรือไม่


การนำเสนอผลดำเนินการของบริษัทจะทำผ่านงบการเงินที่จัดทำตามมาตรฐานการบัญชีที่ผู้บริหารสามารถเลือกได้ว่าจะใช้มาตรฐานใด เช่น การรับรู้รายได้ ในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ สามารถเลือกการรับรู้รายได้ตามสัดส่วนงานที่แล้วเสร็จ หรือ รับรู้รายได้เมื่อได้ส่งมอบงานให้แก่ลูกค้าแล้ว แค่นี้การบันทึกรายได้ ค่าใช้จ่ายก็แตกต่างกันในแต่ละงวดบัญชีแล้วครับ ยังมีอีกหลายส่วนเช่นการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ ส่วนนี้มาตรฐานการบัญชีอนุญาตให้ผู้บริหารพิจารณาตั้งสำรองได้ตามข้อมูลในอดีต การตั้งสำรองในส่วนต่างๆอีกมากมาย สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบกับกำไรของบริษัทอย่างเห็นได้ชัด และเป็นที่นิยมนำมาตบแต่งบัญชีกันมาก


กำไรที่ประกาศออกมานั้นยังไม่ได้หักเงินทุนหมุนเวียน และเงินลงทุนในสินทรัพย์ถาวร แน่นอนว่าเวลาบริษัทซื้อวัตถุดิบ หรือขายสินค้า บริษัทยังไม่ได้จ่ายหรือรับเงินในเวลานั้นๆ แต่การจ่ายหรือรับเงินค่าสินค้านั้นจะเกิดภายหลังรายการนั้น บริษัทจึงจำเป็นต้องมีเงินสำรองเพื่อไว้ชำระค่าสินค้า เงินเดือน อื่นอีกมากมาย การบำรุงรักษา หรือซื้อเครื่องจักใหม่ๆมาใช้ในการผลิตนั้นบริษัทก็จำเป็นจะต้องสำรองเงินเอาไว้สำหรับการนี้เช่นกัน หลายบริษัทประกาศผลประกอบการออกมามีกำไรเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ปริมาณลูกหนี้ก็เกิดขึ้นมากเช่นกัน และบางบริษัทแย่ไปกว่านั้นคือมีการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้สูงกว่าการเติบโตของรายได้ บางบริษัทประกาศกำไรออกมามีกำไรออกมาเพิ่มขึ้น มีการบริหารสินค้าคงเหลือ และการจัดเก็บค่าสินค้าจากลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ กำไรที่เป็นตัวเงินจริงๆนั้นจะสูงกว่ากำไรที่ประกาศออกมามาก อันนี้จะเป็นแต้มต่อของบริษัทนั้นเลยก็ว่าได้ เพราะบริษัทสามารถนำเงินสดส่วนเกินไปใช้ให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ เช่นการซื้อวัตถุดิบเป็นเงินสดจะได้ส่วนลด3% และถ้าเป็นลักษณะอย่างนี้ทุกเดือน ได้ส่วนลดครั้งละ3% ทั้งปีบริษัทสามารถลดต้นทุนได้โดยไม่ต้องทำอะไรมากเลย อันนี้จะส่งผลให้กำไรเติบโตได้ดี มูลค่าของกิจการจะเพิ่มขึ้นได้อีกมาก


กำไรที่ประกาศออกมานั้นไม่ได้หักผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อเอาไว้ แน่นอนครับว่าในทุกประเทศย่อมมีอัตราเงินเฟ้อโดยเฉพาะบ้านเราเวลานี้อัตราเงินเฟ้อสูงเอาเรื่อง บริษัทที่ประกาศผลกำไรออกมาถ้าเติบโตแล้วพอๆกับอัตราเงินเฟ้อก็เห็นทีว่าบริษัทนั้นก็ไม่ได้โตอะไรเลย ยิ่งแย่ไปกว่านั้น
บางบริษัทโตน้อยหรือขาดทุน บริษัทนั้นเท่ากับถูกลดมูลค่าลงในทันที จึงไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไรที่เมื่อต่างชาติขายหุ้นแม้ว่าPEบ้านเราจะต่ำจนไม่รู้จะต่ำอย่างไงแล้ว ก็ยังไม่น่าสนใจสำหรับต่างชาติเลย


สิ่งที่ผมกำลังจะบอกต่อไปคือ ไอ้เจ้าบรรทัดสุดท้ายที่ชอบดูกันนี่ จะดูกันต่อไปก็ไม่ผิดกติกา แต่ขอให้นำข้อสังเกตง่ายๆสามข้อนี้ไปพิจารณาด้วยครับ เพื่อการคำนวณหาค่า PE Ratioที่ได้นั้นจะสะท้อนค่าที่น่าเชื่อถือ และสามารถนำไปประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างดี และที่สำคัญอย่าลืมนะครับว่า การคำนวณค่าPE Ratioนั้นเป็นการนำเอาสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตมาใช้ มันไม่ได้หมายความว่ากำไรในอนาคตนั้นจะดีกว่าหรือแย่กว่ากำไรที่เกิดขึ้นมาแล้ว ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำคือการประมาณกำไรในอนาคตเพื่อหาค่าPE Ratio ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องเข้าใจธุรกิจนั้นๆดีเอามากๆไม่อย่างนั้นไม่มีทางถูกได้แน่ๆ และจะเกิดปัญหาตามมาว่า ทำไมหุ้นนี้PEก็ต่ำแต่ราคาเอาแต่ลงไม่เห็นขึ้นสักที อย่างในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและเดินเรือที่นักวิเคราะห์ตะบี้ตะบันเชียร์กันจนเลิกไปแล้วนี่ไง ผมจะบอกให้ก็ได้ว่านักลงทุนที่เขาเข้าใจธุรกิจนั้นเขาขายออกกันไปหมด ราคาก็ลงมาแล้ว แต่กำไรของกิจการนั้นสามเดือนออกที และจะค่อยๆลดลงมารู้อีกทีกำไรทั้งปีลดไปมาก แต่เราเอากำไรของสามไตรมาสก่อนมาเฉลี่ยเป็นกำไรทั้งปีซึ่งกำไรสามไตรมาสก่อนยังสูงมาเฉลี่ยไตรมาสปัจจุบันที่ต่ำลงตัวเลขเฉลี่ยก็ยังสูงกว่า ดังนั้นเมื่อราคาลดลง กำไรเฉลี่ยในอดีตยังสูงอยู่ PE Ratioก็ยังต่ำอยู่นั้นเอง และเชื่อผมไหมว่าราคาหุ้นเหล่านี้จะยังคงถูก(PE ต่ำ)ต่อไปอีกนาน เพราะมันเป็นของที่ไม่น่าสนใจแล้วไงละครับ จึงไม่ค่อยมีใครซื้อและกล้าให้ราคาแพงๆอีกนาน[/color:722553f763"> ที่มา : Written by มนตรี นิพิฐวิทยา[/quote:722553f763">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com