ตลาดหุ้นไทยยังมีสภาพหมีอาละวาดต่อเนื่อง เมื่อวานนี้ หลุดแนวรับจิตวิทยาสำคัญ 650 จุดลงมาเรียบร้อย
ด้วยคำอธิบาย ยังไม่มีข่าวดีใหม่ๆ แต่ข่าวร้ายอื้อซ่า

* หุ้นชั้นดีอย่าง PTT มีค่าพี/อี อยู่แค่ 7.26 เท่า ราคาต่อบุ๊ค อยู่แค่ 2.37 เท่า
ในขณะที่ BBL มีราคาต้อบุ๊คอยู่ที่แค่ 1.32 เท่า....อนิจจัง อนิจจา ตลาดหุ้นไทย

* ประมวลเสียงจากนักวิเคราะห์ต่างชาติในฮ่องกงและสิงคโปร์ยามนี้
แบ่งออกเป็น 2กลุ่ม ตามกรอบคิดและผลประโยชน์
กลุ่มแรกบอกว่าให้เข้าซื้อหุ้นไทยได้แล้วโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มอาหาร บันเทิง และอุตสาหกรรม
แต่ให้เลี่ยงโทรคมนาคม เพราะหุ้นที่แนะมีราคาต่ำเกินไปแล้ว
กลุ่มหลัง ระบุว่า ทางเทคนิค ยังคงมีอิทธิพลจากสภาวะหมีอาละวาดต่อไปอีกอย่างน้อย 1 เดือน
และการเมืองไทยยังไม่นิ่ง.. เข้าข่ายสองคนยลตามช่อง

* แต่ปัจจัยที่ชัดเจนก็ตอกย้ำอีกว่า ตราบใดที่มีรัฐบาลรักษาการณ์
ก็เป็นเรื่องยากที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาไม่ว่าในตลาดทุนหรือตลาดการผลิต...
การเมืองสำคัญต่อตลาดหุ้นเสมอ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ

* มองจากปัจจัยภายนอกตลาด สถานการณ์ทางการเมืองล่าสุด
ยังต้องรอดูวันพรุ่งนี้ว่าสถานภาพของ ก.ก.ต. เจ้าของสมญา อย่างหนา จะเป็นอย่างไร
ขึ้นกับการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

* ล่าสุด มีการคาดเดาว่า การเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่น่าจะเลื่อนออกไปเป็นต้นปี2550 โน่น
แม้ว่าจะยังไม่เป็นทางการ แต่ดูจากแนวโน้มความยากลำบากของการผ่าวิกฤตการเมืองไทยยามนี้แล้ว
ก็พออนุมานว่า...พอฟังขึ้น

* ส่วนที่ภาคใต้ การแก้ปัญหายังคงแค่ประคองตัว
ความรุนแรงจะยังคงระบาดต่อไปเพราะแก้ไม่ถูกโจทย์
เนื่องจากตีโจทย์เรื่องวัฒนธรรมผิดพลาดกันมาโดยตลอด
ลำพังแค่แนวคิดมุ่งเอาการบริหารและเศรษฐกิจเข้าไปจับเหมือนที่ทักษิณ ชินวัตรว่าเอาไว้
จะต้องรื้อกระบวนทัศน์กันเสียใหม่ เพราะยังไม่เพียงพอ

อย่างที่ กอส. โดยอานันท์ ปันยารชุน เสนอเอาไว้ว่า เรื่องนี้ ต้องแก้แบบบูรณาการ
ไม่ใช่แค่ รื้อฟื้นเอาแค่ สอ.บต. กลับเข้ามาใหม่แบบที่บรรหาร ศิลปอาชาหรือพรรคประชาธิปัตย์เสนอ
เพราะอย่างที่รู้กันนั้น สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่เพียงพอจะอนุญาตให้รัฐบาลและรัฐย้อนถอยหลังเสียแล้ว

* เมื่อวานนี้ คณะรัฐมนตรีรักษาการณ์ (ขอย้ำอีกครั้ง)
มีมติผ่านร่าง พ.ร.บ.สุวรรณภูมิมหานคร ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ
เพื่อสร้างเมืองปกครองพิเศษแบบเดียวกับพัทยาขึ้นมา
ท่ามกลางคำถามว่า แนวคิดเรื่องเมืองใกล้สนามบินนานาชาตินั้น เหมาะสมเพียงใด
เพราะที่ไหนๆในโลก เขาต้องให้เมืองไกลจากสนามบิน เพื่อจะได้ไม่แออัดมากเกินในอนาคต

* โชคดีที่มติครม.ดังกล่าว ไม่ได้มีผลอะไรจริงจัง
เพราะอย่างไรเสีย ต้องรอรัฐบาลหลังเลือกตั้งเข้ามาพร้อมนโยบายที่ชัดเจน
ดังนั้น เรื่องนี้ น่าจะต้องมีการทบทวนใหม่แน่นอน...
ไม่รู้ว่าทำไปทำไม? หรือว่าแค่ปั่นราคาที่ดินให้พรรคพวก?

* กลับมาที่เรื่องเศรษฐกิจ ตัวเลขดุลการค้าที่ผ่านมา ซึ่งขาดดุลมากถึง 646.4 ล้านดอลลาร์
มาจากการนำเข้าน้ำมันเป็นสำคัญ เรื่องนี้ ยังคงเป็นความเจ็บปวดของประเทศ
ที่ นโยบายพึ่งพาพลังงานนำเข้า ยังสูบเลือดคนไทยไม่รู้จบ
ในขณะที่นโยบายพลังงานทดแทน ยังไม่มีรูปธรรมชัดเจน
และทำกันอย่างกระปริบกระปรอยต่อไป

* เรื่องง่ายๆที่เกียรติก้องเห็นว่าควรทำด่วนก็คือ
การลดปริมาณการส่งออกหัวมันหรือมันสำปะหลังอัดเม็ด เพื่อเอามาทำเมธานอลโดยเร็ว
เป็นสิ่งที่ต้องเร่งกระทำเพื่อให้แก๊สโซฮอล กลายเป็นทางเลือกที่แท้จริง
ไม่ต้องเพิ่มการนำเข้าเหมือนอย่างตอนนี้
ที่ราคาวิ่งไล่ราคาปิโตรเลียมกระชั้นชิด เพราะน้ำตาลขาดแคลนในตลาดโลก

* ที่อเมริกา ทุกคนกำลังรอว่า เฟดฯ จะขึ้นดอกเบี้ยเท่าใดกันแน่
ทำให้ช่วงรอนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกพลอยได้รับแรงกังวลตามไปด้วย
ทั้งที่เป็นปัจจัยเก่าๆซ้ำซาก..เมื่อเฟดฯจามตลาดเงินทั่วโลกก็เป็นหวัด

* ขณะเดียวกัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เจ้าเก่า
ออกโรงมาประกาศว่า เศรษฐกิจโลกหนีไม่พ้นภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง
และการจะนำนโยบายดอกเบี้ยมาสกัดเงินเฟ้อเข้มข้น จะไม่เป็นผลดี
เพราะแรงกดดันจากราคาน้ำมัน เป็นสิ่งที่ยากจะควบคุมได้..
ที่ร้ายกว่านั้น ค่าดอลลาร์ในปัจจุบันเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากเหลือเกิน

* อ่านตามโจทย์เช่นนี้ เกียรติก้องขอฟันธงว่า เป็นการส่งความนัยว่า
ความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกจะยังเป็นแรงกดดันที่คนในแวดวงธุรกิจทุกฝ่ายต้องระแวดระวังและอย่าประมาท

* มาถึงยามนี้ นโยบายเศรษฐกิจสมดุล และพอเพียง
(ที่ไม่ใช่ห้ามใหญ่ อย่างที่หลายคนตีความแบบเถรตรง)ของพระเจ้าอยู่หัว
ก็เลยกลายเป็นความทันสมัยอย่างยิ่งยวดขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่พ้น
และเป็นสิ่งที่คนไทยเราต้องช่วยกันคิดค้นทำให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาให้ได้

* วันนี้ ใครที่คิดจะเข้าซื้อในตลาดหุ้นและถือยาวระลอกใหม่
ต้องทำการบ้านให้รอบคอบมากกว่าเดิม ช้าไว้ไม่เสียหลาย...เผื่อจะได้พร้าเล่มงาม