ทนง ยืนยันคำเดิม สถานการณ์การเมืองยังกระทบการลงทุน
ระบุหากกำหนดวันเลือกตั้งชัดจะไม่มีปัญหา
ส่วนลดภาษีบจ.แย้มไม่เห็นด้วย

ทนง เชื่อ แผนยุทธศาสตร์ลงทุน 3 ปี จะทำให้นลท.มีความมั่นใจต่อศก.ไทยมากขึ้น
พร้อมสั่งดูแลงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ แต่ไม่ฟัน งบปี 50-52 จะสมดุลอยู่หรือไม่ เพราะต้องดูสถานการณ์ก่อน
ขณะเดียวกันยังยืนยัน สถานการณ์การเมืองยังกระทบการลงทุน
ระบุหากกำหนดวันเลือกตั้งชัดจะไม่มีปัญหา
ส่วนตัวเลขขาดดุลการค้าเดือนพ.ค.49 มาจากน้ำมันแพงเป็นหลัก
แต่เชื่อดุลบัญชีเดินสะพัดปีนี้จะดีแน่ ส่วนปัญหาหุ้นตกระบุไม่ใช่เพราะเงินทุนไหลออกไปนอกปท.
แต่เป็นการโยกเงินลงทุนจากตลาดทุนไปไว้ที่ตลาดเงินเท่านั้น

นายทนง พิทยะ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูง กระทรวงการคลัง ในวันนี้ว่า
ในการประชุมวันนี้ได้มีการหารือกันถึงการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2549
และการเตรียมความพร้อมในการนำมติครม.
ที่ให้มีการวางแผนยุทธศาสตร์การลงทุนในช่วง 3 ปี (2550-2552)
ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทบทวนเรื่องดังกล่าว
โดยในส่วนของกระทรวงการคลังจะเตรียมพร้อมในเรื่องการคำนวณรายได้รายจ่ายของรัฐบาลในช่วง 3 ปี ด้วย

ทั้งนี้การดำเนินการทำแผนยุทธศาสตร์การลงทุนในช่วง 3 ปี
จะทำให้รู้ถึงแผนการลงทุนของรัฐบาลได้
ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะลงทุนผูกพันข้ามปีตามแผนการลงทุนของรัฐบาลได้

เพราะฉะนั้นจึงเชื่อว่าการทำแผนดังกล่าวจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาได้
สำหรับแผนยุทธศาสตร์การลงทุน 3 ปี นั้น
เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนจะไม่มีผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง
ที่ทำให้การอนุมัติพ.ร.บ.งบประมาณในปี 2550 ลง

ทั้งยังได้กำชับให้กรมบัญชีกลางดูแลถึงประสิทธิภาพในการใช้ระบบ
การประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-auction) ให้มากขึ้น
ซึ่งหากมีส่วนใดที่จำเป็นจะต้องแก้ระบบหรือขั้นตอนการปฏิบัติงานก็ให้เร่งรัดดำเนินการได้
เพื่อลดอุปสรรคในการใช้ระบบ อี-ออกชั่นลง
ซึ่งตรงนี้จะทำให้เม็ดเงินลงทุนของภาครัฐเข้าสู่ระบบได้เร็วขึ้น

ส่วนในเรื่องของการแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจนั้น
ปกติรัฐวิสาหกิจจะมีแผนการลงทุนในช่วง 3-5 ปีไว้แล้ว
แต่ต่อไปหน้าที่ของกระทรวงการคลังจะต้องเข้าไปช่วยดูแลไม่ให้เกิดการล่าช้า
ในเรื่องของการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจซึ่งที่ผ่านมามีขั้นตอนมากมาย
ทำให้เสียเวลาก่อนที่จะนำเรื่องเข้าครม.เพราะฉะนั้นจึงต้องเข้าไปดูแลเร่งรัดเรื่องนี้ให้เร็วขึ้น
เพื่อที่จะให้สามารถอัดฉีดเงินไปยังระบบได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ยังได้ให้ นายวราเทพ รัตนาการ รมช.คลัง ไปดูถึงแผนการใช้เงินของรัฐวิสาหกิจว่าเป็นอย่างไร
ส่วนตนจะดูถึงการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจด้วย

สำหรับเรื่องการจัดทำงบประมาณในปี 2550-2552 นั้น นายทนง กล่าวว่า
ตอบไม่ได้ว่าจะยังเป็นสมดุลอยู่หรือไม่
เพราะเป็นเรื่องของนโยบายที่จะต้องดูถึงภาวะเศรษฐกิจด้วย
ซึ่งจะต้องรอให้ทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)ประเมินถึงสถานการณ์ต่างๆในช่วง 3 ปี
โดยให้คำนึงถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นด้วยว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

?ในส่วนของกระทรวงการคลังก็จะคำนวณถึงการจัดเก็บรายได้รายจ่ายของรัฐบาลว่าเป็นอย่างไร
ซึ่งการจัดทำงบประมาณไม่ได้คำนึงถึงนโยบายที่จะสมดุล ขาดดุลหรือเกินดุลหรือไม่
แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจก่อน?นายทนง กล่าว

ทั้งนี้ในส่วนของงบประมาณปี2549 นายทนง กล่าวว่า
หลังจากที่เข้าหารือกับอธิบดีกรมสรรพากรในวันนี้
ในภาพรวมก็ยังเชื่อว่าการจัดทำงบประมาณในปี 2549 ยังเป็นสมดุลได้อยู่ซึ่งเหลืออีกเพียง 4 เดือน
ก็หวังว่าการจัดเก็บรายได้จะทำให้งบประมาณเป็นสมดุลได้
ซึ่งเท่าที่มีการพูดคุยกับอธิบดีกรมสรรพากร ก็บอกว่าทำได้
อย่างไรก็ตามได้กำชับให้กรมจัดเก็บรายได้อย่างเต็มที่
โดยการเก็บภาษีให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงและเร่งขยายการเก็บภาษีให้มากขึ้น

?ไม่มีอะไรมากผมแค่ไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และพูดคุยถึงสถานการณ์เศรษฐกิจว่าเป็นอย่างไร
ซึ่งอธิบดีกรมสรรพากรเองก็บอกว่าทำได้
และหวังว่าในอีก 4 เดือนที่เหลือจะเก็บรายได้ให้งบประมาณเป็นสมดุลได้?นายทนง กล่าว

นอกจากนี้นายทนง ยังได้กล่าวถึงดุลการค้าในเดือนพ.ค. ที่ขาดดุลประมาณ 646.4 ล้านเหรียญสหรัฐ
เป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูง ขึ้นโดยตรง
ซึ่งหากดูแล้วการส่งออกสามารถขยายตัวได้ 18.8% ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก
จึงมองว่าสถานการณ์ดุลการค้าน่าจะดีขึ้นได้
ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดปี 2549 เชื่อว่าจะยังดี
เพราะการขยายตัวของการส่งออกมาเป็นปกติแล้ว ซึ่งทางสศค.ได้ประเมินไว้ว่าจะเกินดุลได้

นายทนง กล่าวว่า ด้านสถานการณ์การลงทุนของไทยขณะนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมือง
ต้องยอมรับว่าการเมืองยังเป็นแบบนี้นักลงทุนก็รอดูสถานการณ์ก่อน
ซึ่งหากกำหนดวันเลือกตั้งได้ชัดเจนก็จะไม่มีปัญหา
อย่างไรก็ตามเชื่อว่านักลงทุนในประเทศจะมีการคิดวิธีการลงทุนไว้แล้ว
และหาช่องทางในการขยายการลงทุนต่อไปได้
เพราะขณะนี้อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับที่ดีมาก ซึ่งถือว่านิ่งอยู่ที่ 38 บาทต่อเหรียญสหรัฐบวกลบ
ซึ่งเหมาะสมกับการส่งออกเป็นอย่างมาก

ส่วนของสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยในประเทศ จะมีทิศทางเป็นอย่างไรไม่สามารถตอบได้
ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เป็นผู้ดูแลเอง
ถึงแม้ว่าจะมองว่าอยู่ในระดับสูงแล้วก็ตาม
โดยทั้งหมดต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของธปท. ที่จะคำนวณความเหมาะสมเรื่องอัตราดอกเบี้ยเอง
อย่างไรก็ตามกระทรวงการคลังจะดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
เรื่องการใช้จ่ายภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพด้วย

?เรื่องนี้แบงก์ชาติดูอยู่ เพราะมีสูตรในการคำนวณที่เหมาะสมว่าดอกเบี้ยจะอยู่เท่าไร
แต่ผมก็ยังหวังว่าจะไม่มีการปรับขึ้นอีก
ส่วนการที่ธนาคารพาณิชย์ ไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) นั้น
สะท้อนให้เห็นว่าสภาพคล่องในประเทศยังมีอยู่
ซึ่งทางธนาคารพาณิชย์ได้เตรียมพร้อมด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเผื่อไว้แล้ว
เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ธนาคารพาณิชย์จะไม่ปรับขึ้นตามธปท.?นายทนง กล่าว

ส่วนการขอลดภาษีนิติบุคคลของบริษัทจดทะเบียนจาก 30% เหลือ 25%
ตามคำขอสมาคมบจ. นั้น
เขากล่าวว่า ยังไม่ได้มีการหารือกับสภาตลาดทุนไทยถึงมาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษี
ให้กับบริษัทที่จะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์เสียภาษี 25% จากปกติ 30%

อย่างไรก็ตามมองว่ามาตรการเดิมของทางภาครัฐที่มีนโยบายไม่ให้ต่ออายุ
มาตรการดังกล่าวแล้ว
ก็ไม่อยากไปเปลี่ยนแปลงนโยบายเดิมแต่ถ้าสถานการณ์จำเป็นก็ต้องมีการหารือกัน
ว่ามีความเหมาะสมที่จะต่ออายุมาตรการหรือไม่
แต่ ณ ขณะนี้ควรเคารพนโยบายเดิมก่อน
อีกทั้งการพิจารณาปรับลดยังต้องพิจารณาด้วยว่ารายรับจะไหวหรือไม่หากลดภาษี

ผมอยากให้เคารพนโยบายเก่าที่มีอยู่แล้ว
หากมีสถานการณ์จำเป็นจริง ๆก็จะไปคุย กับรองนายกฯด้านเศรษฐกิจ
ถึงความเหมาะสมว่าจะทำได้หรือไม่?นายทนงกล่าว

นายทนง กล่าวว่า อย่างไรก็ตามไม่เคยทราบเรื่องมาตรการในการลดหย่อนภาษี
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนของกรมสรรพากร
ที่มีการเปลี่ยนแปลงมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล
ที่จากเดิมได้กำหนดไว้ไม่เกิน 40% ของเงินได้รวม แต่ไม่เกิน 60,000 บาท
มาเป็นการคำนวณโดยไม่เกิน 40% ของเงินได้รวมแต่ไม่เกิน 100,000
บาท
เพื่อช่วยผู้มีเงินเดือนประจำลูกจ้างชั่วคราวที่มีรายได้น้อยหรือปานกลาง
แต่อย่างใดและทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ยังไม่ได้ส่งเรื่องมาให้พิจารณาแต่อย่างใด

ส่วนการที่สถานการณ์ดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงอยู่ในขณะนี้นั้น
มองว่าเป็นเพราะมีการโยกเงินลงทุนจากตลาดทุน ไปลงทุนในตลาดเงินแทน
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ หรือพันธบัตรต่าง ๆ แทน
ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าการที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงนั้น
ไม่ได้มีการไหลออกของเงินลงทุนไปนอกประเทศแต่อย่างใด
ซึ่งตรงนี้จะทำให้สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์มีอยู่เพียงพอ
จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นตามธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)

ในเรื่องของการปล่อยสินเชื่อของแบงบก์พาณิชย์นั้นเราต้องมาดูในรายละเอียดกันว่า
ในส่วนของสินเชื่อนั้นชะลอลงตรงจุดไหนอย่างไรบ้าง
ซึ่งหลังจากที่ผมได้คุยกับแบงก์พาณิชย์ต่างๆ แล้วเค้าบอกว่าเท่าที่ผ่านมามีการชะลอลงแต่ไม่มากเท่าไหร่นัก
ซึ่งส่วนมากจะเป็นพวกสินเชื่อของโครงการบ้านจัดสรรที่ชะลอลง
รวมทั้งการขอสินเชื่อการลงทุนใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยมีแล้วเช่นกัน
ทั้งนี้น่าจะมีสาเหตุมาจากการที่ไม่มีเม็ดเงินลงทุนของภาครัฐลงสู่ระบบนั่นเองนายทนงกล่าว

นอกจากนี้ นายทนงยังได้กล่าวถึงกรณีที่ภาคเอกชนออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งสร้างความชัดเจน
ในเรื่องของการลงทุนและสถานการณ์การเมืองต่างๆ ให้ชัดเจน
เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ว่าตนยินดีรับฟังข้อมูลจากภาคเอกชนทั้งหมด
ซึ่งหากมีข้อมูลหรือความต้องการอะไรเสนอมารัฐบาลก็พร้อมที่จะรับฟัง
โดยการเสนอข้อมูลต่าง ๆ มานั้น จะทำให้รัฐบาลรู้ว่าควรจะมีมาตรการอะไรเพิ่มขึ้นหรือไม่
ซึ่งในส่วนของกระทรวงการคลัวก็จะมาหารือกันว่ามีอะไรที่เหมาะสมก็จะดำเนินการต่อไป

ผมยินดีรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนเพื่อที่ช่วยกันหาทางเยียวยาปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
ซึ่งถือเป็น นิมิตหมายที่ดี ทั้งนี้การที่ภาคเอกชนมองว่าเศรษฐกิจปี 2550จะ
มีแนวโน้มชลอลงไปอีกนั้น
ถือเป็นเรื่องที่ดีที่เรารู้ ปัญหาว่าอะไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
จะได้พยายามร่วมหาทางแก้ไขกันแต่เนิ่นๆ
ส่วนการที่จะขอลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 25% ตอนนี้ผมก็ยังไม่ทราบในรายละเอียด
แต่ก็ต้องมาดูอีกที รักษาการรมว.คลังกล่าว

หุหุ คง ต้อง ทาม จาย กัน แล้ว เตรียม ตัว แต่ เนิ่น จะได้ ไม่เจ็บ ตัว

ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3