คอลั่ม มองอย่างเซียน

ภาพความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้
ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบ ที่ได้รับจากความเคลื่อนไหวของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โลกได้เป็นอย่างดี

ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อ่อนตัวลง มีผลกระทบต่อราคาหุ้นบริษัทผลิตน้ำมันทั่วโลก
ซึ่งกลายเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักต่อการคำนวณดัชนีของทุกตลาด ฉุดให้ดัชนีราคาหุ้นหลายแห่งลดต่ำลงมา

ผนวกกับความวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา
ค่าเงินดอลล่าร์ที่อ่อนตัวลงจนถึงจุดหนึ่งที่ทำให้บรรดากองทุนที่ชอบเล่นกับความเสี่ยง
ต้องเข้าไปช้อนซื้อ จนทำให้ค่าเงินดอลล่าร์กระเตื้องขึ้น

ทั้ง 3 ปัจจัย คือราคาน้ำมัน ค่าเงินดอลล่าร์ และเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ
แต่ผลกระทบก็ยังส่งตรงมาถึงประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะเทคโนโลยี่ที่พัฒนาขึ้นมา ทำให้การเคลื่อนย้ายเงินทองสมัยนี้ ทำได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่กดปุ่ม

ที่สำคัญที่สุด คือเงินลงทุน ที่หมุนเวียนไปตามตลาดต่างๆทั่วโลกนั้น เป็นเงินก้อนเดียวกัน
ขึ้นอยู่กับว่าตลาดใดในขณะนั้น กำลังให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนสูงที่สุด

ดังนั้น แม้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในที่ห่างไกล
แต่สำหรับโลกการเงินแล้ว โลกทั้งใบเป็นโลกใบเดียวกัน
ตลาดไหนที่ผลตอบแทนเริ่มลดน้อยลง ขณะที่อีกตลาดหนึ่ง ผลตอบแทนกำลังเพิ่มสูงขึ้น
เม็ดเงินก้อนดังกล่าว ย่อมไหลออกจากตลาดแรก ไปยังตลาดใหม่แห่งนั้น

และผลกระทบก็จะเกิดขึ้น อย่างที่ปรากฏกับตลาดหุ้นไทย ในวันจันทร์ และอังคารที่ผ่านมา
ความแตกต่างที่สำคัญประการหนึ่ง ระหว่างนักลงทุนชาวไทย
กับเงินกองทุนที่กำลังไหลเวียนเข้าตลาดนั้น ออกตลาดนี้อยู่ทั่วโลกขณะนี้
อยู่ตรงที่เงินก้อนหลัง นอกจากจะมีขนาดใหญ่กว่าแล้ว ยังมีทางเลือกมากกว่า

เงินก้อนนี้ มิได้นำมาลงทุนเฉพาะแค่ในตลาดหุ้น
แต่ยังยักย้าย ถ่ายไปมา ทั้งระหว่างตลาดทุน ตลาดเงิน ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทต่างๆ

อาทิ หากตลาดหุ้นนิวยอร์คกำลังให้ผลตอบแทนดี เงินก้อนนี้ก็ยังแช่อยู่
หรือหมุนเวียนอยู่ในหุ้นต่างๆในตลาดหุ้นนิวยอร์ค
แต่เมื่อใดที่ตลาดหุ้นนิวยอร์คเริ่มอิ่มตัว ขณะที่ตลาดหุ้นในย่านเอเซียกำลังเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ก็จะมีเงินส่วนหนึ่งที่ไหลออกจากตลาดหุ้นนิวยอร์ค มายังตลาดหุ้นเอเซีย

เช่นกันที่เมื่อใดที่ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มไม่ดี แต่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
เงินก็จะไหลออกจากตลาดหุ้น เข้าไปยังตลาดน้ำมัน

และก็เช่นเดียวอีกเหมือนกัน เมื่อใดที่ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันเริ่มอิ่มตัว
แต่ค่าเงินดอลลล่าร์อ่อนตัวลงจนถึงระดับน่าเข้าไปเก็งกำไร
เงินก็จะไหลออกจากตลาดหุ้น ตลาดน้ำมัน เข้าไปเก็งกำไรค่าเงินดอลล่าร์
แต่สำหรับนักลงทุนชาวไทยนั้น โอกาสที่จะทำดังว่าแทบจะไม่มี
เพราะในบ้านเรา ช่องทางการลงทุนที่เป็นทางเลือกนั้น มีเสนอให้น้อยกว่า

ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนผู้มีเงินออมคนไทย
รู้จักเพียงแค่ฝากเงินไว้กับธนาคารพาณิชย์ ส่วนที่เหลือค่อยนำไปลงทุนในตลาดหุ้น
เพิ่งไม่กี่ปีที่ผ่านมา ค่อยเริ่มจะรู้จักซื้อหน่วยลงทุน หรือซื้อหุ้นกู้ หรือพันธบัตร

มาไม่ถึงเดือนมานี้ ที่เริ่มจะมีแหล่งลงทุนใหม่เพิ่มเข้ามา คือตลาดอนุพันธ์
แต่ก็ยังไม่เป็นรู้จักกันอย่างกว้างขวาง เพราะถือเป็นของใหม่สำหรับคนไทย
ทั้งคนที่เป็นนักลงทุน และโบรกเกอร์

ดังนั้น เมื่อเกิดความผันผวนขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นที่ใด
คนไทยจึงมีทางเลือกเพียงแค่ 3 ทาง คือถ้าไม่ซื้อหุ้น ก็ฝากเงินไว้กับธนาคาร หรือซื้อหน่วยลงทุน

ความคล่องตัวในการจัดการกับเงินลงทุนของแต่ละคน
จึงแตกต่างจากนักลงทุนระดับสากล ที่มีตลาดให้เลือกลงทุนมากกว่า
จึงกลายเป็นข้อจำกัด เพราะเม็ดเงินที่เข้ามาหมุนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นไทย
กลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุด คือนักลงทุนต่างชาติ

ด้วยข้อจำกัดเช่นนี้ นักลงทุนคนไทย ที่ต้องการจะประสบความสำเร็จในการลงทุน
จึงจำเป็นต้องทำการบ้านหนักกว่า เพราะต้องวิเคราะห์ถึงแนวโน้มของตลาดลงทุนต่างๆทั่วโลก
ว่ามีทิศทางเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้คาดการณ์ได้ว่าเม็ดเงินที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นไทย
จะยังคงหมุนเวียนต่อ หรือย้ายไปหาแหล่งลงทุนอื่นๆ



ที่มา ทันหุ้น [/color:fa9a3edf95">

.000c .000c .000c