หุ้นจะขึ้นยั่งยืนเมื่อธรรมาภิบาลที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ในการประชุมประจำปี 2006 ระหว่างวันที่ 25-26 พ.ค. 2006
ที่จัดขึ้นในกรุงเทพมหานครของ TBLI (Triple Bottom Line Investing Conference)
ซึ่งจัดเป็นสถาบันองค์กรเอกชนระหว่างประเทศที่สนับสนุนการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
รู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบ สร้างความเป็นธรรมต่อสังคมและธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
ปรากฏว่ามีผู้เข้าร่วมประชุมจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ
เช่น ธนาคารโลก(IFC)
ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB)

สถาบันและสถาบันการเงินภาคเอกชน ทั้งจากประเทศที่พัฒนาแล้วและที่กำลังพัฒนาในภูมิภาค
เช่นธนาคารพาณิชย์ กองทุนเพื่อการลงทุนระยะยาวต่างๆ
แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่าไม่มีสถาบันจากภาครัฐบาลไทยเข้าร่วมประชุม
เว้นแต่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
และบริษัทจดทะเบียนบางบริษัทที่สนใจกิจกรรมเพื่อสังคมมาก่อน

ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความรับผิดชอบทางสังคมของกิจการต่างๆ (CSR: Corporate Social Responsibility)
และการลงทุนที่ยั่งยืนแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
(SRI : Social Responsibility Investment หรือ Sustainable and Responsible Investment) นั้น
ยังไม่ได้รับการตระหนักรู้และเห็นว่าเป็นหน้าที่ของตนเองที่พึงกระทำดี
โดยไม่มุ่งแสวงหาทรัพย์สินเพราะมีโลภะกิเลส
จนหมดโอกาสที่จะพบความสุข ที่แท้จริงและยั่งยืนในชีวิตนี้ที่โชคดีได้เกิดเป็นมนุษย์!
ภัยธรรมชาติทั้งหลายที่เกิดขึ้นแท้จริงล้วนเกิดจากผลงานของมนุษย์ทั้งสิ้น

ธนาคารโลกโดยบรรษัทบริหารเงินเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (IFC)
ได้นำเสนอผลการวิจัยว่า การลงทุนที่สร้างความยั่งยืนและรู้จักหน้าที่ของตน
ที่ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
ในขณะนี้มีมูลค่าถึง 2.7 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

แต่จำนวนเงินทุน (Capital) ดังกล่าวนี้
มีส่วนที่มาจากการลงทุนของบริษัทจดทะเบียน (Listed Companies)
ในตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ซึ่งรวมทั้งตลาดหุ้นไทยมีเพียงร้อยละ 0.1 เท่านั้น
ยืนยันได้อีกเช่นกันว่าประเทศที่กำลังพัฒนารวมทั้งประเทศไทย
ยังไม่สู้จะตระหนักหรือรู้จักตัวเองที่เกิดเป็นมนุษย์ ควรจะพัฒนาปัญญาได้ดีกว่านี้อีกเรื่องหนึ่งแล้ว

แม้การรณรงค์เรื่องธรรมาภิบาล บรรษัทภิบาล หรือการกำกับดูแลกิจการที่ดี
(Good Corporate Governance : CG) จะเกิดขึ้นแล้วมีการแจกรางวัลให้ Incentive ไปมากมาย
แต่ก็เหมือนกับยิ่งแย่ไปกว่าเดิม ดูจาก Rating ของประเทศที่รายงานออกมา
ตกอันดับไปหมดคล้ายกับกรณีการมีองค์กรอิสระที่ไม่อิสระ
แล้วยังกลับมาทำลายการปฏิบัติงานของผู้ที่เคยปฏิบัติงานสมัยยังไม่มีองค์กรอิสระ
หรือสมัยที่ยังไม่มี CG จึงกลับทำให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเลวลงไปกว่าเดิมเสียอีกหรือเปล่า

สำหรับ CG หรือการกำกับดูแลกิจการที่กำลังรณรงค์ให้มีการปฏิบัติกันมานานพอสมควร
ก็ยังถูกมองว่าไม่ใช้หลักการประกอบธุรกิจหรือการลงทุน
ที่จะนำมาใช้ได้อย่างเพียงพอที่จะเกิดผลสำเร็จอย่างยั่งยืนเป็นสุขทั่วกันของมวลมนุษย์ได้ (Sustainability)
เนื่องจากเป็นเพียงการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติที่ให้ความสำคัญ
เพื่อให้เกิดประโยชน์เฉพาะระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีอำนาจบริหาร (Control Shareholders)
กับผู้ถือหุ้นนักลงทุนสถาบัน
และนักลงทุนรายย่อย (Investment Shareholders) อย่างเป็นธรรมเท่าเทียมและโปร่งใสมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

อันเป็นการแสวงหาประโยชน์เพื่อกลุ่มเจ้าของกิจการนั้นๆ เพียงเฉพาะกลุ่ม
เอาใจกันเฉพาะกลุ่ม เช่นมี Investor Relations ที่ดี เป็นต้น
แต่มิได้ตระหนักรู้ว่าผลกำไรและประโยชน์ที่ได้มาแบ่งปันในระหว่างกลุ่ม
อาจได้มาจากการฉกชิงประโยชน์ของสังคมและทรัพย์สินสมบัติจากสิ่งแวดล้อมในรูปแบบต่างๆ
โดยไม่รู้ตนเอง ก็ย่อมไปได้ไม่มากก็น้อย และเป็นเช่นนี้กันทุกคนทุกกิจการ
งานที่ทุกวันนี้กำลังดำเนินไป จึงไม่แน่ใจว่าอาชีพการงานของท่านจะเป็นสัมมาอาชีพกันในระดับใด
และในที่สุดกิจการเหล่านี้ก็จะไม่มีความยั่งยืน (Sustainability) ต่อไปได้

ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3