(Price Sustainability by CG with CSR)

อะไรคือความสามารถในการสร้างความยั่งยืน (Sustainability)
ความแน่ใจในการสร้างความสำเร็จในการประกอบกิจการและธุรกิจในระยะยาว
จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเราได้มีส่วนทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมสิ่งแวดล้อมของประเทศ
ในทุกชนชั้นสังคมมีความสุขสมบูรณ์ที่มั่นคงเป็นที่สิ่งจำเป็นที่ต้องการของประชาชนในยุคปัจจุบัน
โดยปราศจากการประนีประนอมต่อความสามารถของประชาชนในยุคอนาคต
ที่ย่อมจะต้องพัฒนาต่อไปให้เกิดความสำเร็จให้เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องการของเขาเหล่านั้นซึ่งเป็นลูกหลานของเราเช่นกัน

องค์ประกอบของความยั่งยืนนั้น คือ 3P
ได้แก่ People, Planet และ Profit หรือแปลจากมิติ 3 ด้าน อันได้แก่
1)เศรษฐกิจ
2)สังคม
และ3)สิ่งแวดล้อม นั่นเอง

และความจำเป็นที่กิจการธุรกิจต่างๆต้องจัดการกับ 3 ประการจึงเป็นที่มาของหลักการ

?ส่วนประกอบสำคัญ 3 ประการ? หรือ ?Triple Bottom Line?

เช่นเดียวกับกรรมวิธีในการปฏิบัติเพื่อให้เกิด Sustainability นั้น
ย่อมประกอบไปด้วยระดับความสามารถใน 3 ด้าน คือ
1)ระดับความรับผิดชอบหรือ Accountability
2)ระดับความโปร่งใส Transparency
และ 3)ระดับการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย
หรือ Engagement with Stakeholders ฉะนั้น Sustainability ก็คือ Corporate Social Responsibility (CSR)
หรือ Corporate Citizenship
ซึ่งครอบคลุมลักษณะมุมมองในการประกอบกิจการขององค์กรและธุรกิจต่างๆที่กว้างขวางกว่า CG
คือจะหมายถึง Good Governance ,Treatment of Employees, Impact on the Environment,
Impact on Social, Local Communities and Business Relationships with Suppliers and Customers

และในรายงานของบรรษัทการเงินธนาคารโลก (IFC)
ก็พยายามพัฒนาวิธีการที่จะบูรณาการผสมผสานหลักและวิธีการปฏิบัติใน 3 เรื่อง
คือ สิ่งแวดล้อม (Environmental)
สังคม (Social)
และ บรรษัทภิบาลหรือการกำกับดูแล (Corporate Governance) เข้าด้วยกัน (ESG)

เพื่อกำหนดให้สถาบันการเงินและนักลงทุนเช่น บริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management)
บริษัทหลักทรัพย์ นายหน้าลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ กองทุนต่างๆ ถือปฏิบัติเพื่อการลงทุนที่ยั่งยืน

ในอนาคตบรรดาเศรษฐกิจประเทศที่กำลังพัฒนาต่างๆจึงมีความเสี่ยงทางสังคม (Social Risk)
ที่อาจจะยังไม่รู้ตัวว่าจะก่อให้เกิดความไม่ยั่งยืนหากไม่เรียนรู้และยอมรับในเรื่อง CSR
ทั้งในกรณีที่ไม่มีการลงโทษ (Sanction) จากประเทศอื่น
เพราะตนเองทำตนเองรับผิดเองตามกฎแห่งกรรม
และอาจถูกกีดกันไม่คบค้าสมาคมด้วยวิธีการในทางการค้าย่อมเป็นได้

ประเทศไทยจึงต้องรีบหันมาเร่งเรียนรู้และพัฒนาด้าน CSR
ซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยกรรมการผู้จัดการที่เพิ่งอำลาไป (คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง)
ได้ริเริ่มดำเนินการมาตลอดอายุการทำงานอันเป็นอันเป็นที่น่าสรรเสริญยิ่ง
บริษัทจดทะเบียนและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงควรถือปฏิบัติอย่างจริงจังให้มากขึ้น
เพื่อความยั่งยืนตลอดไปของประชาชน สังคม สิ่งแวดล้อมอันรวมถึงสภาวะตลาดทุน
กิจการต่างๆที่ต้องอาศัยตลาดทุน และนักลงทุนทั้งรายใหญ่รายย่อย

ส่งท้ายด้วยข้อมูลที่นักลงทุนไทยอาจยังไม่ทราบว่า
ขณะนี้บรรดานักลงทุนสถาบันทั้งในยุโรป สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
ได้นำปัจจัยใน 3 เรื่องที่กล่าวข้างต้น
คือผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environment)
ผลกระทบทางสังคม (Social)
และการกำกับดูแล (Governance) เรียกย่อมๆ เป็น ESG
เข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนเป็น %
ของจำนวนนักลงทุนสถาบันที่มากขึ้นเกินกว่า 20% ในปี 2549 แล้ว
และยังคาดว่าในอีก 3 ปี ข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 40%

ทั้งนี้สำหรับการลงทุนกลยุทธ์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของนักลงทุนสถาบันในสหราชอาณาจักร
ก็จะมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นใน 3 ปีข้างหน้าใกล้ 50%
ฉะนั้นหากตลาดทุนไทยไม่เร่งปรับตัวในเรื่อง ESG ให้ทันเวลาแล้ว
อนาคตตลาดหุ้นไทย และราคาหุ้นก็อาจจะเพิ่มขึ้นได้ยากขึ้นไปอีก
เพราะเกิดปัญหาผลกระทบทางการเงิน และความเสี่ยงสูงจากประเด็นเรื่องสังคม
และสิ่งแวดล้อมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ทั้งหลาย
ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของสังคมตลาดทุนสากลที่นักลงทุนผู้เจริญปัญญามากขึ้น
ผู้ซึ่งจะไม่ยอมรับความมั่งมีของตนบนความทุกข์ยากผู้อื่นและบนความย่อยยับของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
เพราะหากยอมรับไปก็จะเกิดความไม่ยั่งยืน
และจะต้องกลับไปชดใช้หนี้กรรมในที่สุดซึ่งมิใช่ความสุขที่แท้จริง



ที่มา ทันหุ้น [/color:8ed6a8d744">
คอลั่มน์ มองอย่างเซียน ( ขอขอบพระคุณในข้อมูลดีๆที่ได้นำมาเสนอ )[/color:8ed6a8d744">

.0000 .0000 .0000