แรงซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันเกือบ 400 ล้านบาทวานนี้
ทำให้บรรยากาศการลงทุน และอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างดูดีขึ้นเป็นอย่างมาก
รวมทั้งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ดันดัชนีขึ้นมาปิดถึงระดับ 659.32 จุดอย่างแข็งแกร่ง
โมนิก้า จึงขอแสดงความยินดีกับปรากฎการณ์ดังกล่าวด้วยเจ้าค่ะ

*เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นวานนี้จะเป็นเพียงปรากฎการณ์ชั่วครู่ชั่วยาม
หรือเป็นการกลับทิศกลับทางอย่างสมบูรณาการณ์ อันนี้ต้องติดตามกันอย่างกระชันชิด
เพราะสถานการณ์ของตลาดหุ้นในยามนี้ไม่สามารถไว้ใจอะไรได้เลยสักอย่าง

*ที่สำคัญแรงซื้อของกองทุนวานนี้อาจเป็นการลากไปออกของเหมือนเช่นที่ผ่านมาก็เป็นไปได้ใครจะไปรู้
โมนิก้า ถึงไม่อยากให้นักลงทุนระริกระรี่เป็นปลากระดี่ได้น้ำ
เพราะสุดท้ายการขึ้นในรอบนี้อาจไม่มีนัยสำคัญอะไรเลยก็เป็นไปได้
เพราะปัจจัยหลายอย่างไม่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนพับผ่าซิ

*เดี๊ยนถึงขอย้ำอีกทีว่า บรรยากาศการลงทุนในยามนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ถนัดเข้าเร็ว ออกเร็ว
ซึ่งเห็นได้จากวอลุ่มการซื้อขายที่มีอยู่แค่ 8 พันล้านบาท ตอกย้ำว่าตลาดกำลังจะวาย
หากมั่วชักช้าอืดอาดมีสิทธิ์ติดหุ้นที่ราคาสูงโดยไม่จำเป็น
โมนิก้า ถึงไม่แนะนำให้คุณๆ ท่านๆ เข้าซื้อหุ้นในจังหวะนี้

*หากต้องการซื้อจริงๆ ขอแนะนำให้ทยอยซื้อหุ้น PTT PTTEP และ TOP
เพราะหุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวลงมาค่อนข้างเยอะ หากจะซื้อเก็บไว้ก็คงไม่มีอะไรต้องวิตกกังวล
เพราะเดี๊ยนมั่นใจว่า หุ้นดี ยังไรก็ต้องเป็นหุ้นดีวันยันค่ำ
หากเชียร์ออกหน้าออกตาก็คงไม่เสียหายอะไรใช่ไหมหล่ะ

*MINT เซ็นต์ MOU กับ Hemas Holdings Limited (Hemas)บริษัทโฮลดิ้งส์ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นศรีลังกา
เพื่อรุกธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ผ่านบริษัทSerendib Hotels PCL ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Hemas ค่ะ
ตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนการทำ Due Diligence คิดว่าไม่เกิน 1 เดือนรู้ผลแน่นอนค่ะ
ราคาหุ้นเลยวิ่งบวก 0.20 บาทปิดที่ 9.30 บาท

*ส่วนเจ้าของกิจการอย่างวิลเลี่ยม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค
ก็เดินหน้าทยอยเก็บหุ้นตัวเองเข้าพอร์ตต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ
หุ้นจะตก ใครจะทิ้ง คุณพี่ไม่สน ขอรับแบบไม่ยั้ง
ล่าสุดเก็บ MINT เพิ่มอีก 203,418,099 หุ้น และ MINOR 52,368,371 หุ้น
เจ้าของกิจการมั่นใจในธุรกิจตัวเองซะขนาดนี้แล้วนักลงทุนอย่างเราๆ มีหรือจะอดใจไหวละคะ

*คนมีกะตังอย่าง BECL จะทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด เลยขายโน่นซื้อนี่ให้วุ่นวายไปซะหมด
โมนิก้าเห็นแล้วเหนื่อยแทนซีเอฟโอจริง จริ๊งค่ะ
ล่าสุดซื้อหุ้นน้ำประปาไทยจากช.การช่าง จำนวน 812,500 หุ้น ในราคาหุ้นละ320 บาท เป็นเงิน 260 ล้านบาท
และยังจองซื้อหุ้นเซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำนวน 45 ล้านหุ้น คิดเป็นเงิน450 ล้านบาทค่ะ
รวมแล้วก็แค่ 710 ล้านบาท(เอง) ค่ะ

*แต่ทำมั๊ยมาประกาศขายหุ้น BMCLที่กำลังจะเข้าตลาดหุ้น
หรือว่าหุ้นตัวนี้ไม่ดีพอ เลยผันเงินไปลงทุนอย่างอื่นแทน
ตัดขายทิ้งซะ 250 ล้านหุ้น แล้วอย่างนี้ นักลงทุนรายย่อยอย่างเดี๊ยนสมควรซื้อหุ้นรถไฟฟ้าใต้ดินดีมั๊ยคะเนี๊ยะ

ก็ขนาดคนกันเองยังทิ้งอย่างไม่ใยดีขนาดนี้
เอ๊!หรือจะเป็นเพราะลงทุนมานานได้รับกำไรพอแล้ว
หรืออีกมุมหนึ่งก็คือรอบริษัททำกำไรไม่ไหว(กันแน่)

*มาที่ ITV บ้าง ก่อนหน้านี้เดี๊ยนเขียนเม็ดเงินค่าปรับไปตามรายงานข่าว
แต่หลังจากมานั่งใครครวญดูแล้ว ค่าปรับของสปน.กว่า 7.6 หมื่นล้านบาท นั้น ไม่ค่อยจะมีตรรกะซักเท่าไหร่
เพราะมันมากกว่าเงินที่เทมาเสคซื้อหุ้น SHIN ซะอีกค่ะ
ถ้าคิดหักตามจำนวนวันจริง ๆ ก็แค่ 200 กว่าล้าน
แต่เรื่องกฎหมายเดี๊ยนไม่อยากเถียง เดี๋ยวโดนข้อหาปากมอมเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นมาละก็จะยุ่งกันใหญ่ค่ะ
ล่าสุดหุ้นก็เลยบวกเพิ่มขึ้น

*แต่หุ้นที่พฤติกรรมคลุมเครือเช่นนี้ นักลงทุนห่างไว้เป็นดีค่ะ
ล่าสุดก็ออกมาให้รายย่อยต้องรับผิดชอบเรื่องค่าปรับด้วย
ตามกฎหมายเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่พูดกันตามตรงก็เหมือนโยนความผิดให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
เพราะเรื่องปรับผังและลดค่าสัปทานมันเป็นแรงผลักของผู้ถือหุ้นใหญ่(ก่อนหน้านี้)
รายย่อยจะไปรู้อะไร บางคนเข้ามาซื้อหุ้นหลังจากบริษัทผ่านมติเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ

*โมนิก้าได้กลิ่นไม่ดีลอยมาว่า
มีบริษัทหนึ่งในตลาดใหม่ กำลังดำเนินแผนการปั้นรายได้ให้โตก้าวกระโดด
หวังเข้าเทรดในตลาดใหญ่ เพื่อทำกำไรจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น
เพราะมีตัวอย่างให้เห็นว่าช่วงปล่อยข่าวจะย้ายไปตลาดใหญ่นี่ ราคาดีดแรงยักกะกินย้าโด๊บ
คิดดูละกันค่ะว่าเจ้าของจะทำเงินได้ขนาดไหน?

*บริษัทเจ้าแผนการพยายามเพิ่มกำไรให้ตัวเอง
ผ่านการรับซื้อสินค้าราคาแสนถูกจากบริษัทลูก โดยให้บริษัทลูกขาดทุนแทน
และตั้งราคาขายสินค้าต่ำมาก ชนิดที่เรียกว่าทุ่มตลาด
ทำเอาบริษัทที่ทำธุรกิจเดียวกันเดือดร้อนเป็นทิวแถว เพราะสู้ราคาไม่ไหว
แต่งบบริษัทตัวเองออกมาสวยงาม ปิ๊งปั๊งค่ะ
นักลงทุนเห็นแต่ตัวเลขกำไร มีหรือไม่วิ่งเข้าใส่

ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3