กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
เอกชน ยอมรับราคาน้ำมัน-ค่าบาทกระทบส่งออกครึ่งปีหลัง

1 ) ส.อ.ท.ประเมินภาพเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง
ยอมรับราคาน้ำมันและเงินบาทแข็งค่า กระทบการส่งออกโตน้อยกว่าครึ่งปีแรก
ขณะที่อุตสาหกรรมสิ่งทอเรียกร้องให้ ธปท.ดูแลเงินบาท
ให้มีเสถียรภาพที่ 39-40 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ และเร่งการเลือกตั้ง

งานปฐมนิเทศกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
ซึ่งมีสมาชิกทั่วประเทศเข้าร่วมงาน ในช่วงเย็นวันนี้ (23 มิ.ย.)
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
จะร่วมพบปะกับกรรมการ ส.อ.ท. เพื่อรับฟังความเห็นและปาฐกถาเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ และในวันพรุ่งนี้ (24 มิ.ย.)

โดยนายสมคิด จะประชุมร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.)
ซึ่งประกอบด้วย ส.อ.ท.สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
สมาคมธนาคารไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ซึ่งจะหารือเรื่องภาวะเศรษฐกิจ

โดยเฉพาะการพัฒนาและและช่วยผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เป็นสำคัญ

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า
นายสมคิด คงจะให้ข้อมูลภาพรวมเศรษฐกิจแก่สมาชิกและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักธุรกิจ
เนื่องจากในสถานการณ์ปัจจุบันความมั่นใจนับเป็นสิ่งสำคัญ
นอกจากนี้ จะเปิดโอกาสให้สมาชิกซักถามในประเด็นที่สนใจอย่างเปิดกว้าง

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจขณะนี้ ยังเชื่อว่าการส่งออกของไทยจะเติบโตได้ประมาณร้อยละ 15
แม้ว่าอาจจะไม่ถึงเป้าหมายร้อยละ 17 ของรัฐบาล
แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมาก เนื่องจากฐานการส่งออกปี 2548 เติบโตอย่างมาก

สำหรับครึ่งหลังของปี นายสันติ ยอมรับว่าการส่งออกอาจจะไม่ดีเท่ากับครึ่งปีแรก
เนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันและค่าเงินบาทที่ไม่นิ่ง
อย่างไรก็ตาม จากการประหยัดพลังงานมากขึ้นของประชาชน
และค่าเงินบาทที่เริ่มอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
รวมทั้งคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า จากเดิมที่เคยสั่งซื้อจากจีน
ก็ทำให้เห็นว่าลูกค้าเริ่มหันกลับมาหาผู้ประกอบการในไทยอีกครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี

นอกจากนี้ การท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยบวก
หลังจากการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี ที่มีภาพถ่ายทอดออกไปทั่วโลก
เชื่อว่าจะทำให้มีเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวมากขึ้นกว่าเดิม

ด้านนายเธียรชัย มหาศิริ ที่ปรึกษากลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ส.อ.ท. กล่าวว่า
การส่งออกเครื่องนุ่งห่มยังไปได้ดีไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะราคาน้ำมัน
แต่รายได้เป็นบาทลดน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และตั้งราคาขายลำบาก เพราะค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น

โดยสิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐหรือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาดำเนินการ คือ
การดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ
ซึ่งหากอยู่ในระดับ 39-40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ยิ่งเป็นเรื่องที่ดี

นอกจากนี้ อยากเห็นการเมืองมีเสถียรภาพโดยเร็ว
มีการจัดการเลือกตั้ง มีสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลชุดใหม่
เพราะความไม่ชัดเจนทางการเมืองส่งผลถึงเรื่องการลงทุน และคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเช่นกัน

ขณะเดียวกันหากมีรัฐบาลใหม่ชุดใหม่
จะได้เดินหน้าเรื่องการทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทย-สหรัฐ และญี่ปุ่น
เพราะยิ่งล่าช้า อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มของไทยก็จะเสียโอกาสเพิ่มขึ้นเท่านั้น

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. กล่าวว่า
ยอดส่งออกรถยนต์ยังไปได้ดี แต่ยอดขายในประเทศเริ่มหดตัว
ซึ่งคงจะดูอีก 2 เดือนข้างหน้าจำเป็นต้องปรับยอดขายหรือไม่ จาก 724,000 คัน

ยอดขายที่ลดลงนอกจากจะเกิดจากปัญหาน้ำมันแพงแล้ว ยังเกิดจากผลพวงด้านการเมือง
ที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนและลุกลามมาถึงยอดขายรถยนต์ด้วย

2 ) คมนาคมเล็งใช้ระบบตั๋วโดยสารร่วมรถไฟฟ้าราคาเดียว

คมนาคมเจรจาบริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ บีเอ็มซีแอล
ใช้ระบบตั๋วโดยสารร่วม 15-20 บาทตลอดสาย รองรับรถไฟฟ้าเมื่อสร้างเสร็จแบบครบวงจร
และพร้อมเปิดระบบให้รถไฟฟ้าจากบริษัทอื่นเข้าร่วมบริการในเส้นทางได้

นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการนาคม
หารือร่วมกับผู้บริหารการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพแห่งประเทศไทย (รฟม.)
และนายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการบีเอ็มซีแอล
โดยที่ประชุมตกลงร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางการใช้ราคาค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสาย 15-20 บาท

โดยจะทดลองเมื่อการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน
ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายจากท่าพระ-บางแค ครบวงจรแล้ว
เนื่องจากการคำนวณค่าโดยสารจากผลตอบแทนจากการลงทุนหรือไออาร์อาร์ ร้อยละ 24.75
เมื่อผู้โดยสารมีจำนวนมากขึ้น ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าจะมีกำไรเพิ่มขึ้น
ดังนั้น การกำหนดค่าโดยสารที่ 15-20 บาทตลอดสาย จึงไม่น่ากระทบต่อรายได้ของบีเอ็มซีแอล
ซึ่งทางบีเอ็มซีแอลจะต้องไปเจรจากับสถาบันการเงินเจ้าหนี้และหารือกับผู้ถือหุ้น


นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า จะเริ่มใช้ค่าโดยสารราคาเดียวเต็มรูปแบบ
เมื่อการก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้ง 3 เส้นทางแล้วเสร็จ ทั้งสายสีน้ำเงิน สีแดง และสีม่วง
โดยคาดว่าผู้โดยสารปีแรกจะอยู่ที่ 400,000 คนต่อวัน และเพิ่มขึ้นถึง 500,000 คนต่อวัน
จากปัจจุบันอยู่ที่ 180,000 คนต่อวัน ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมาย 200,000 คนต่อวัน


และเมื่อเปลี่ยนค่าโดยสารให้ไออาร์อาร์อยู่ที่ร้อยละ 10 - 14.75
จะทำให้เก็บค่าโดยสารราคาเดียว 20 บาทตลอดสายได้
โดยการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 เส้นทางจะให้ผู้ก่อสร้างยื่นซองประมูลในวันที่ 31 สิงหาคมนี้

สำหรับค่าโดยสารของรถไฟฟ้าใต้ดินปัจจุบันอยู่ที่ 14 - 36 บาทตามระยะทาง
จะครบกำหนดการปรับราคาในวันที่ 3 กรกฎาคม 2549 โดยขยับเป็น 15 - 39 บาท
ซึ่งต้องใช้ค่าโดยสารระดับดังกล่าวไปก่อนจนกว่าการก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้ง 3 เส้นทางจะแล้วเสร็จ

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นด้วยกับแนวทางการเปิดระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน
เพื่อให้ผู้ก่อสร้างและผู้ให้บริการรายเดิมนอกจากบริษัทซีเมนส์เข้าวิ่งในรางซีเมนส์ได้
เพื่อนำรถไฟฟ้าเข้าศูนย์ซ่อมเดิมของบีเอ็มซีแอลได้โดยไม่ต้องก่อสร้างใหม่

3 ) สภาพัฒน์ฯห่วงภาคเอกชนไม่เพิ่มการลงทุน
ทั้งที่กำลังการผลิตเต็มเพดานแล้ว จะทำให้เกิดการชะงักงันทางภาคเศรษฐกิจ
แนะภาคเอกชนปรับโครงสร้างการผลิต เน้นจุดแข็งภายในประเทศมากขึ้น
ยันรัฐบาลรักษาการสามารถอนุมัติงบประมาณโครงการลงทุนเมกะโปรเจกต์

นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ สศช. กล่าวในการสัมมนา
?นำเอกชนไทย ฝ่าวิกฤติโลก สู่ความยั่งยืน เรื่องพลังงาน?
จัดโดยคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) ว่า
จากปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับ 60-65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ทำให้ สศช.ต้องปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ถึง 2 ครั้ง
โดยเมื่อเดือนมีนาคมปรับลดจากการเติบโตร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 4.5-5.5
และเดือนมิถุนายน เหลือร้อยละ 4.2-4.7
ซึ่ง สศช.ยังเป็นห่วงปัญหาราคาน้ำมัน เพราะเป็นจุดอันตรายของธุรกิจ
โดยตัวเลขการนำเข้าน้ำมันเดือนพฤษภาคม แม้ว่าปริมาณการนำเข้าจะลดลงร้อยละ 26
แต่เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จึงทำให้การใช้จ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 6

สศช.ยังห่วงว่าขณะนี้ภาคเอกชนไม่มีการนำเข้าเหล็กและเครื่องจักรเพื่อมาขยายการผลิตเพิ่มเติม
แม้กำลังการผลิตจะขยายถึงร้อยละ 80-90 แต่จะเน้นการเพิ่มการทำงานของพนักงานแทน
ซึ่งหากภาคเอกชนไม่เพิ่มการลงทุน สศช.ห่วงว่าในอนาคตเอกชนจะไม่มีกำลังการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก
และไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศได้
ซึ่งจะยิ่งเป็นผลลบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยมากขึ้น
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการในธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ได้เริ่มปรับลดเป้ากำไรของบริษัท
โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาราคาน้ำมัน

เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า ภาคเอกชนจะต้องมีการปรับโครงสร้างการผลิต
โดยลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอกให้หันมาให้ความสำคัญกับจุดแข็งของตนเอง
เน้นการพัฒนาความสามารถของบุคลากรและการส่งเสริมความรู้ เ
พื่อทำให้มีความยั่งยืนในระยะยาวและสร้างเสถียรภาพของเศรษฐกิจมากขึ้น
เพราะการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เช่น เงินร่วมทุนต่างประเทศและเครื่องจักรไม่ใช่การพัฒนาที่ยั่งยืน
จะทำให้ภาคเอกชนวิตกกังวลต่อการไหลออกและการย้ายฐานเงินทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ภาคเอกชนไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องงบประมาณจากภาครัฐ
เพราะแม้ว่าจะยังเป็นรัฐบาลรักษาการก็มีงบประมาณเพียงพอที่จะดำเนินการ
โดยยังมีเม็ดเงินจากงบเหลื่อมปี 70,000 ล้านบาท
งบลงทุนที่เหลือ 200,000 ล้านบาท
งบรัฐวิสาหกิจ 270,000 ล้านบาท
หากรัฐบาลสามารถเบิกจ่ายได้ตามแผนงานและใช้อย่างมีประสิทธิภาพส่งเข้าสู่ภาคธุรกิจเต็มที่
ก็จะช่วยผลักดันภาวะเศรษฐกิจได้ ขณะเดียวกันแม้ว่าจะเป็นรัฐบาลรักษาการ
แต่ก็สามารถอนุมัติและเดินหน้างบประมาณในโครงการเมกะโปรเจกต์ เช่น รถไฟฟ้า 3 สาย
เพราะหากไม่ดำเนินการก็อาจจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน และทำให้เกิดการชะงักงันของเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ สศช.จะประชุมเชิงปฏิบัติการประจำปี
เพื่อระดมความเห็นเกี่ยวกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10
ซึ่งจะมุ่งเน้นใน 5 ยุทธศาสตร์หลัก คือ
สร้างคนให้มีคุณภาพ
สร้างชุมชนให้พึ่งตนเองได้
ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและนักธุรกิจให้มีภูมิคุ้มกันเปลี่ยนแปลง
ขยายฐานทรัพยากรให้มีความยั่งยืนให้เพียงพอในการใช้ในอนาคต
และสร้างธรรมาภิบาล

นี่ ถ้า สะดุด นิด หน่อย ศก. บ้าน เรา จะ ทรง ตัว ได้ ไหม เนี้ย

ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3