May 7, 2024   1:58:54 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > แด่ ทุกท่านที่กำลังทำงานหนัก เพื่ออะไรบางอย่างในชีวิต:
 

punfreee
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 11
วันที่: 28/06/2006 @ 18:25:11
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

แด่ ทุกท่านที่กำลังทำงานหนัก เพื่ออะไรบางอย่างในชีวิต:
ข้อคิดและข้อปฎิบัติสำหรับผู้ต้องการเพิ่มEQของตัวเอง :

หัดคิดแต่ด้านบวก
***แล้วจะรู้ว่ามีแต่สิ่งที่เป็นไปได้***

หัดฝัน
***แล้วจะรู้ว่าโลกนี้น่าอยู่***

หัดพูดแต่ด้านบวก
***แล้วจะรู้ว่ามีคนอีกมากมายที่รักเรา***

หัดยิ้ม
***แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่น่ารัก***

หัดฟาดฟันกับอุปสรรค
***แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่เข้มแข็ง***

ลองทน
***แล้วจะรู้ว่าเรามีความอดทนยิ่งกว่าใคร***

ลองออกกำลังกายทุกวัน
***แล้วจะรู้ว่าเราคือมนุษย์เจ้าพลังคนหนึ่ง***

ลองคิดเอาชนะ
***แล้วจะรู้ว่าเราสามารถเอาชนะตัวเองได้ไม่ยาก***

ลองคิดให้ใหญ่
***แล้วจะรู้ว่าเรามีความสามารถอย่างน่าแปลกใจ***

นักพูดที่เป็นที่รู้จักกันดีท่านหนึ่งได้เริ่มหยุดการสัมนาของเขาโดยการหยิบแบงค์ 1,000 ขึ้นมาในห้องที่มีผู้เข้าร่วม 200 ท่าน แล้วเขาก็พูดว่า

ใครอยากได้แบงค์ 1,000 นี้บ้าง?

มือได้ถูกยกขึ้นเป็นจำนวนมาก

และเขาก็พูดต่อว่า

ฉันจะให้เงินแบงค์1,000 นี้แก่หนึ่งในพวกท่านแต่ครั้งแรกนี้ฉันจะทำอย่างนี้

เขาเริ่มที่จะขยำๆเงินนั้นแล้วเขาก็ถามอีกว่า
ใครจะยังต้องการมันอีก

ยังคงมีมือที่ยกขึ้นอีก

ดี เขาตอบ

แล้วถ้าฉันทำอย่างนี้ล่ะ

และเขาก็ทิ้งมันลงที่พื้นและเริ่มที่เหยียบย่ำมันด้วยรองเท้าของเขา แล้วเขาก็เก็บขึ้นมา

ขณะนี้มันทั้งยับยู่ยี่และสกปรก

ตอนนี้ใครยังต้องการมันอีก ก็ยังคงมีคนยกมืออีก


เพื่อนๆคุณได้เรียนรู้บทเรียนที่มีคุณค่ามากที่สุดบทหนึ่งแล้วว่าไม่ว่าฉันจะทำอะไรกับเงิน คุณก็ยังต้องการมันอยู่ เพราะว่ามันไม่ได้ลดคุณค่าในตัวมันลงเลย มันก็ยังคงมีค่า 1,000 บาทอยู่นั่นเอง

เหมือนกับหลายๆครั้งในชีวิตของเราที่ถูกทิ้ง ถูกเหยียบย่ำ และถูกทำให้สกปรก โดยสิ่งที่เราตัดสินใจทำมันและสภาพแวดล้อมที่เราเจอ ทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าของเราลดน้อยลง แต่ไม่ว่าอะไรที่ได้เกิดขึ้นหรืออะไรที่จะเกิดขึ้น คุณไม่เคยสูญเสียคุณค่าของคุณ คุณเป็นคนพิเศษ
-- อย่าลืมมันตลอดไป!


อย่านำความผิดหวังของเมื่อวานมาบดบังความฝันในวันพรุ่งนี้

 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#1 วันที่: 28/06/2006 @ 18:48:10 : re: แด่ ทุกท่านที่กำลังทำงานหนัก เพื่ออะไรบางอย่างในชีวิต:
.0005 .0009 ฟฟฟฟ3

ขอบคุณมากมากนะคะ...ดีใจจังที่อย่างน้อยก็มีคนคิดคล้ายกัน....

ขอฝากเรื่องราวหนึ่งเรื่องที่เปิดเผยได้มาให้พิจารณาดูนะคะ
..................................................................................

[b:dda4777216">คุณจะคิดอย่างไรหากมีใครสักคนบอกว่า ชีวิตของคนเราทุกผู้ทุกนามต่างแขวนอยู่บนเส้นด้ายในทุกโมงยาม สัญญาณแห่งความเป็น ความตายแทรกตัวอยู่ในทุกขณะจิตของลมหายใจ

...ที่สำคัญมัจจุราชอาจกำลังย่องตามคุณอย่างเงียบเชียบโดยที่ไม่รู้ตัวก็เป็นได้ และนาฬิกาชีวิตของคุณใกล้จะหยุดเดินอย่างไม่คาดฝัน !!

*********************

ในบางขณะความเป็น ความตายนั้นตัวเราไม่สามารถเป็นผู้ลิขิตชีวิตได้เสมอไป ทว่าฟ้าดินเป็นผู้กำหนดชะตากรรม ที่สำคัญไม่เคยรอถามความสมัครใจด้วยซ้ำว่าพร้อมจะตายหรือยัง...ตายเพราะซน ตายเพราะเสื่อม ตายเพราะโทรม ตายเพราะทราม...เป็นปัจจัยหลักๆ ในการเสียชีวิตของคนเรา


กลินท์ บุนนาค ทายาทธุรกิจโรงแรมตะวันนา รามาดา เริ่มเกริ่นบทสนทนาย้อนชีวิตเมื่อครั้งรอดพ้นชีวิตเฉียดตายในวัยเพียง 36 ปี

ชายหนุ่มเล่าต่อว่า ในชีวิตนี้ไม่เคยคิดเลยสักนิดว่า ตัวเองจะเจ็บป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ที่ผ่านมาเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนแข็งแรง เพราะตั้งแต่เล็กจนอายุล่วงเข้าวัยสามสิบ กิจวัตรที่ปฏิบัติเป็นนิสัย คือ ชอบเล่นกีฬาไม่ว่าจะเป็น เทนนิส ว่ายน้ำ ฟุตบอล ถึงแม้ไม่มีเวลาก็ยังออกกำลังกายที่บ้านด้วยการวิ่งบนลู่วิ่งเสมอ และมั่นใจว่าตัวเองไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ เพราะเป็นคนไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจมีดื่มนิดหน่อยเวลาสังสรรค์กับเพื่อนฝูงจึงคิดว่าน่าจะไม่มีสิ่งใดเป็นปัจจัยเสี่ยงในชีวิตด้วยซ้ำ

คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าหนึ่งในสาเหตุการตายมาจากร่างกายเสื่อมสังขาร คิดว่าอวัยวะส่วนต่างๆ เสื่อมสลายเพราะไม่ได้ดูแลซึ่งไม่ใช่ แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ดูร่างกายแข็งแรงเป็นปกติดีทุกอย่างในวัยเพียง 36 ปี หนำซ้ำยังดูแลสุขภาพตลอดจะกลายเป็นคนป่วย

.. .ด้วยความชะล่าใจจึงประมาทกับสัญญาณบอกเหตุอันส่งผลจากความผิดปกติของร่างกายที่เริ่มเกิดขึ้นเขาไล่เรียงรายละเอียดให้ฟังว่า ระยะหลังเวลารับประทานอาหารแล้วรู้สึกจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ ซึ่งปกติตัวเองเป็นคนที่รับประทานอาหารเร็วจึงนึกว่าเป็นอาการจุกที่เกิดจากการรับประทานเร็วมากเกินไป ทำให้แยกแยะไม่ออกว่าอาการจุกแน่นที่เกิดขึ้นมาจากความปกติของระบบภายในร่างกาย หรือเกิดจากลักษณะนิสัยในการรับประทานกันแน่

อีกอย่างคือ เป็นคนหายใจไม่อิ่มเวลาหายใจแล้วรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เหมือนอากาศเข้าไปไม่เต็มอก บางครั้งต้องพยายามหายใจลึกๆ แรงๆ แต่อาการที่ว่าก็ไม่ได้เป็นตลอด หรือเป็นต่อเนื่อง ที่สำคัญไม่เคยทราบด้วยว่าทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณเตือนของสุขภาพหัวใจ เพราะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก และถ้าเข้าใจว่าเหล่านี้เป็นอาการของโรค ช่วงระยะ 2 ปีที่ผ่านมาอาการต่างๆ เกิดบ่อยขึ้น อย่างรับประทานอาหารแล้วจุกแน่นบ่อยขึ้น จากเคยเป็น2-3 เดือนต่อครั้ง กลับถี่ขึ้นกลายเป็นเดือนละ 1-2 ครั้ง

อาการครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจไปพบคุณหมอ เกิดอาการหนักกราม เสียดหน้าอก รู้สึกหนักที่แขนด้วยกำเริบตอนกำลังวิ่งอยู่บนเครื่องวิ่งที่บ้าน ตอนนั้นนึกว่าไม่เป็นไรเลยเปลี่ยนไปกระโดดเชือก อาการดังกล่าวก็ยังคงเป็นอยู่ เห็นทีท่าไม่ดีจึงลองไปเช็กร่างกายที่โรงพยาบาล เพราะเริ่มไม่ไว้ใจตัวเอง บอกตรงๆ เลยว่า เริ่มกลัวตาย ยอมสละความกลัวเข็มเพื่อรักษาชีวิตดีกว่า

ปรากฏว่าผลการตรวจออกมาว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และอยู่ภาวะที่เป็นอย่างรุนแรงจนถึงขั้นต้องผ่าตัดเพื่อใส่ลวด คือ หลอดเลือดตันที่หัวใจด้านซ้ายหน้า และทางขวาด้านหน้า ส่วนเส้นทางซ้ายด้านหลังยังเล็กกว่าปกติทั้งยังมีร่องรอยที่อาจจะเกิดขึ้นอีก คุณหมอจึงใส่ลวดเข้าไปต่อกันทางด้านหน้าซ้าย จากนั้นทำบอลลูนด้านขวา ช่วงนั้นต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 2 วันจึงจะกลับมาพักฟื้นต่อที่บ้าน

ถ้าให้อธิบายถึงความร้ายแรงของโรคว่าเข้าขั้นโคม่าขนาดไหน คงต้องบอกว่าถ้าเป็นแล้วรักษาไม่ทัน หรือไม่รู้ตัวมีโอกาสถึงตาย เพราะหลอดเลือดหัวใจจะต้องนำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เมื่อหลอดเลือดผิดปกติจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด การทำงานจึงผิดปกติ โรคของหลอดเลือดหัวใจอาจเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการสะสมของไขมันที่ผนัง ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบและตันในที่สุด สามารถตายได้อย่างฉับพลันทั้งๆ ที่ภายนอกอาจดูร่างกายแข็งแรงแต่อาจน็อกได้โดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับนักกีฬาฟุตบอลระดับโลกที่มีข่าวว่าช็อกจนเสียชีวิตกลางสนาม กระทั่งนักพากย์กีฬาชื่อดัง ย.โย่ง-เอกชัย นพจินดาก็เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจเช่นกัน

ดังนั้นไม่ว่าคุณจะแข็งแรงถึงขั้นเป็นนักกีฬาอาชีพก็ยังมีความเสี่ยง ฉะนั้นอย่าชะล่าใจในความตายที่อยู่ใกล้ตัวเรานิดเดียวซึ่งสาเหตุของโรคนี้เกิดได้ทั้งจากพันธุกรรม, การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง,ความดันโลหิตสูง, การดื่มแอลกอฮอล์, สูบบุหรี่, ระดับน้ำตาลในเลือดสูง รวมถึงภาวะเครียดอีกด้วย

เมื่อก่อนไม่เคยใส่ใจเรื่องการควบคุมอาหาร เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นโรคอะไรกับวัยเพียงเท่านี้ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตก็ออกกำลังกายมาโดยตลอด พร้อมบำรุงบำเรอด้วยอาหารแบบเต็มพิกัดทั้งเนื้อ นม ไข่ ชอบที่สุด คือ เมนูไข่เจียวใส่กากหมูมากรับประทานได้ทุกวันๆ ละ 2 มื้อๆ ละ 2-3 ฟอง แต่ต้องตัดใจแล้ว เพราะคุณหมอสั่งให้งดไข่แดง

จากที่เคยชอบรับประทานชีส เนยแข็งมาก เวลารับประทานพิซซ่าต้องสั่งเพิ่มชีส ตอนนี้ต้องลดลงมาให้หมด ส่วนของหวานสุดโปรดอย่างไอศกรีมที่ต้องทานทุกมื้อหลังอาหารยังต้องลดลง อาหารทะเลอย่างปลาหมึกผัดไข่เค็มที่เคยรับประทานทานบ่อยๆ หรือมันกุ้ง ต้องระวังทั้งสิ้น

เขาบอกต่อว่า ทุกวันนี้คุณหมอกำชับให้ควบคุมอาหาร ควบคุมไขมัน และดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี ที่สำคัญอย่าเครียดต้องพยายามควบคุมอารมณ์ พร้อมเรียนรู้ชีวิตประจำวัน และการดำเนินชีวิตแบบใหม่ๆ สิ่งใดที่ไม่เคยทำมาก่อนก็ต้องลองทำ เช่น รับประทานผักมากขึ้นจากที่เคยเขี่ยทิ้งตลอดแต่ต้องฝืนใจเพื่อสุขภาพ เน้นรับประทานปลาเกือบทุกมื้อ แต่เปลี่ยนวิธีการปรุงเป็น นึ่ง ย่างสลับกันไป ทั้งยังต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมัน หรืออาหารที่มีไขมันสูง

ถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 6 เดือนแล้วที่ผ่านวิกฤตชีวิตมาได้ น้ำหนักตัวลดไปเกือบ 10 กิโลกรัม จาก 69 กิโลกรัม เหลือ 60.3 กิโลกรัม โชคดีที่ออกกำลังกายเบาๆไปด้วยอย่างเดินเร็ว หรือตีกอลฟ์กับกลุ่มเพื่อนจึงทำให้ไม่ดูซูบ แต่หน้าตากลับผ่องใสไม่เหมือนคนเพิ่งฟื้นไข้สักนิด

พักหลังเลือกไปตีกอล์ฟกับเพื่อนๆ มากกว่าไปออกกำลังกายหนักๆ อย่างตีเทนนิส แต่ส่วนใหญ่จะไม่เดิน ถ้าเลือกได้จะใช้รถกอล์ฟแทนมากกว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดอาการปอด และเจ็บแขน จากนั้นก็ล้มฟุบที่สนามกอล์ฟเลย

ตอนนั้นอายเพื่อนมากต้องหามส่งเข้าโรงพยาบาลแทบไม่ทัน เลยต้องพกยาติดตัวไว้เสมอเผื่อฉุกเฉิน ปกติเก็บยาไว้ที่กระเป๋ากางเกงด้านซ้าย แล้วต้องบอกเพื่อนๆ ว่า ถ้าเกิดฟุบไปให้รีบใส่ยาไว้ที่ใต้ลิ้น แต่ถ้ารออีก 5-10 นาทียังไม่ฟื้นให้ใส่เม็ดที่ 2 ตามไปอีก จากนั้นก็พาไปโรงพยาบาลทันที ชายหนุ่มเล่าเหตุการณ์ระทึกใจ

ทว่าจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตส่งผลให้มุมมองในชีวิตเปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยคิดว่าเดี๋ยวค่อยทำ กลายเป็นว่า เวลาไม่ได้มีเหลือมากมายอย่างที่คิด

เมื่อก่อนคิดว่าชีวิตยังมีเวลา ใจเย็นก่อน วางแผนก่อน คิดว่ายังมีเวลาอีกมายค่อยๆ ตัดสินใจ แต่จริงๆ แล้วเวลาไม่เคยรอใคร และไม่ได้มีมากมายเหมือนอย่างที่คิด แต่แน่นอนว่าการกระทำทำสิ่งใดก็ต้องคิดให้ดีเสียก่อน เพราะการตัดสินใจที่ดีก็ช่วยให้พลาดน้อยลง แต่ไม่ควรคิดนานเกินไปเท่านั้น

ที่สำคัญอย่าเครียด แม้สังคมสมัยนี้จะมีการแข่งขันสูงก็จริง ค่าใช้จ่ายสูงแต่พยายามหาวิธีผ่อนคลาย เพราะเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่จะก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา ดังนั้นนอกจากพยามควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้เครียดแล้ว ทั้งยังทำให้คนอื่นไม่เครียดตามเราไปด้วย

สุดท้ายเขาฝากข้อคิดทิ้งท้ายว่า การเจ็บป่วยในครั้งนี้ทำให้เกิดอุทาหรณ์สอนใจในการมีชีวิตอยู่ให้พึงระลึกเสมอว่าเวลาในชีวิตทุกนาทีมีคุณค่า ขอใช้ให้อย่างมีประโยชน์ที่สุด และอย่าตั้งอยู่ในความประมาท

ครั้งนี้ที่เขารอดมาได้ ต้องเรียกว่ามีโอกาสที่ได้มีชีวิตรอดให้ได้กลับมาทำในสิ่งที่คิดไว้แต่ยังไม่ได้ทำ และได้มีโอกาสกลับมาพินิจพิจารณาแก้ไข หรือปรับปรุงในสิ่งที่ผิดพลาดอีกครั้งก่อนที่จะสายเกินไป

แล้วคุณล่ะ..เคยลองถามตัวเองบ้างไหมว่า ได้ทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วหรือยัง ก่อนที่เวลาอันสั้นในชีวิตจะหมดลงไป ฉะนั้นทางที่ดีจงทำทุกนาทีในชีวิตให้มีคุณค่าทั้งต่อตัวเอง และแบ่งปันคืนกลับสู่สังคมบ้าง เพื่อให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นคน!!
[/color:dda4777216">[/size:dda4777216">.............................................................................[/b:dda4777216">

[b:dda4777216">ที่มา : บทเรียนสอนใจ ในวิกฤตชีวิต กลินท์ บุนนาค

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 23 มีนาคม 2549 18:50 น.[/color:dda4777216">..........................................................................................[/b:dda4777216">


มีตัวอย่างให้เราเห็นเช่นนี้ ทุกวัน ทุกทุกวัน ทุกทุกทุก วัน .... ใช่ไหมคะ???

.....................................................................................................
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#2 วันที่: 28/06/2006 @ 19:09:39 : re: แด่ ทุกท่านที่กำลังทำงานหนัก เพื่ออะไรบางอย่างในชีวิต:
.........................................................................................

[b:afd5ed7033">บทสัมภาษณ์ ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร บางส่วน....
ใน นสพ.คมชัดลึก 29 ก.ย.2548


ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร หรือชื่อใหม่ว่า ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร เล่าย้อนถึงอาการก่อนหน้าเป็นมะเร็งว่า ?รู้สึกว่าเวลาเข้าห้องนํ้ า ทํ าไมถ่ายอุจจาระไม่หมดสักที บางที 1 นาทีก็กลับมาอีกแล้ว คือจะปวดตลอดเวลา แต่ไม่ได้ปวด
ท้องนะ แค่ปวดอยากถ่าย แล้วพบว่ามันจะมีเลือดออกมาด้วย เวลาที่ถ่ายเป็นเลือดจะรู้สึกตกใจ เราถึงได้ไปหาหมอ วันที่ไป หมอก็ให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเลย วันรุ่งขึ้นก็ตรวจส่องกล้อง เมื่อส่องกล้องออกมาเจอ แล้วตัดออกมาก็ไม่พบ แต่ผลเลือดชี้ชัดว่าเป็น ก็ไปหาหมอที่จะผ่าตัดเรา เข้าโรพยาบาลวันที่ 9 ? 10 สิงหาคม แต่วันที่ผ่าคือ 11 สิงหาคม ปีที่แล้ว (2547)
ตั้งแต่วันแรกที่เลือดออกจนถึงวันที่ผ่าตัดเอาออกไป 21 วัน

?การผ่าตัด เป็นทางออกที่ต้องเร่งทํ า เนื่องจากมะเร็งเป็นเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วมาก ซึ่งหากดูลักษณะการแพร่กระจาย แล้วถือเป็นระยะที่ 3
เพราะเมื่อตัดลําไส้ออกไป มะเร็งได้ลุกลามไปอยู่ที่ตับแล้ว นั่นแสดงว่า มันไม่ได้เริ่มต้น แต่มันมีอยู่แล้ว เพียงแต่ตรวจไม่พบเท่านั้น
ดังนั้น การรักษาต่อหลังการผ่าตัดลําไส้ คือ การใช้เคมีบําบัด ซึ่งทําให้เหนื่อย
อ่อนจนทํ างานไม่ได้ นอกจากนี้ชีวิตประจํ าวันของเขายังเปลี่ยนแปลงไปด้วยทุกวันนี้ ดร.วรฑา รับการรักษาด้วยวิธีฉีดยาเข้าไปในร่างกาย
เพื่อไปทํ าลายเส้นเลือดที่ต่อกับเซลล์มะเร็งโดยจะทําทุกสัปดาห์ และให้แพทย์ดูผลใน 2 เดือน นอกจากนี้ยังมี ?ยาใจ? ที่ช่วยให้เขาดําเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขโดย ดร.วรฑา เผยว่า ?เวลาที่ไปโรงพยาบาล เวลาที่เราเหนื่อยอ่อน พ่อกับแม่ก็จะคอยประคองแล้วเดินไปด้วยกัน เรามีความรู้สึกว่าอายุ 48 แล้วนะ พ่อแม่ยังดูแลเราอยู่เลย แล้วพอไปถึงโรงพยาบาล เจอคนรู้จักก็จะถามว่าพ่อ-แม่เป็นอะไร ไม่เคยมีใครนึกว่า ....
พ่อแม่จะพาลูกมาโรงพยาบาล ไม่เคยมีสิ่งไหนเลยที่จะทํ าให้เราท้อถอย หมดกํ าลังใจจะบอกกับตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่า ?ต้องหาย? เราไม่มีทางเลือกอื่น เรากลับรู้สึกว่าเราให้ความสํ าคัญและคุณค่ากับการมีชีวิตอยู่มากขึ้นด้วยซํ้ าไป อยากมีชีวิตอยู่เพื่อดูลูกเติบโตขึ้นมา อันนี้คือ ความรู้สึกที่ทํ าให้ ?วรฑา? จึงต้องเกิดขึ้น ไม่ได้คิดว่าการเปลี่ยนชื่อเป็นการแก้เคล็ด แต่มันเปลี่ยนจากความรู้สึกที่เราเป็นคนเรียกหาเอง ?อภิวัฒน์? เขาเหนื่อยยากมามากแล้ว ให้เขาพักผ่อนเถอะ แล้วให้ ?วรฑา? เขามีชีวิตใหม่

?การทุ่มเทเวลาให้กับงานจนลืมให้ความสํ าคัญกับตัวเอง ไม่ใช่การใช้ชีวิตที่ถูกต้องเพราะเวลาที่เราเจ็บป่วย ก็จะมีแต่คนที่เรารักเท่านั้นคอยดูแล หากเหตุผลของการทํ างานหนักคือเพื่อเลี้ยงดูลูกเมีย ในที่สุดแล้วผลที่เกิดขึ้นก็จะมีแต่ลูกเมียเท่านั้นที่ได้รับความทุกข์นี้?

?การจัดสรรชีวิตเป็นเรื่องที่สํ าคัญ โปรดรู้ไว้ว่า การนอนชดเชยไม่มีจริงในชีวิตนี้ การสูญเสียการนอนไปแล้วชดเชยด้วยการนอนสองเท่าไม่ได้ นาฬิกาชีวิตมันผ่านไปแล้ว ....

ชีวิตในเวลานั้นๆ มันต้องพัฒนาม้าม มันต้องพัฒนาลํ าไส้ เราต้องเข้าใจกลไกของชีวิต เข้าใจกลไกของร่างกายเข้าใจวิธีการที่จะดูแลตัวเองให้อยู่ไปนานๆ ทุ่มเททํ างานได้ แต่อยากจะทํ าไปอย่างนี้ได้นานๆไหม
ถ้าอยากทําควรจะใส่ใจตัวเองให้มากกว่านี้?[/color:afd5ed7033">[/b:afd5ed7033">.................................................................................................
 กลับขึ้นบน
จันทรา
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,898
#3 วันที่: 29/06/2006 @ 01:17:15 : re: แด่ ทุกท่านที่กำลังทำงานหนัก เพื่ออะไรบางอย่างในชีวิต:
อ่านแล้ว น้ำตาไหลเลยค่ะ ... ชีวิตสัตว์โลกทั้งหลาย ช่างสั้นยิ่งนัก... .0002 .0002 .0002
ยิ่งท้าทาย ให้มนุษย์เรา ซึ่งมีโอกาสมากกว่าใครอื่น
ให้ต้องยิ่งเร่งกระทำความดีกันให้มากๆ ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ .... และยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆๆๆๆ ...


ขอขอบคุณทุกๆ ท่าน สำหรับบทความดีๆ นะคะ ... .0000 .0000 .0000
 กลับขึ้นบน
mr.w
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 490
#4 วันที่: 01/07/2006 @ 18:17:06 : re: แด่ ทุกท่านที่กำลังทำงานหนัก เพื่ออะไรบางอย่างในชีวิต:
อ่าน แล้ว ต้องไปตรวจสุขภาพแระ ปี้ยังไม่ได้ตรวจเลย

ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com