???? สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 1,238 | วันที่: 08/07/2006 @ 17:13:36 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต ตรวจสอบหุ้น ไทยยูนีคคอยล์เซ็นเตอร์ เข้าตลาด 7 เดือน ราคาวิ่งขึ้น 70% ผู้บริหาร ยืนยัน กอดหุ้นไม่ขาย..รอกินอนาคต ส่วนวงในชี้หุ้นตัวนี้มี เซียนคุม ระวังรวยแล้วเลิก
บมจ. ไทยยูนีคคอยล์เซ็นเตอร์ (TUCC) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สเตนเลสของ ตระกูลงามไกวัล เป็นหุ้นน้องใหม่ที่เพิ่งเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2548 แต่ราคาหุ้นกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างหวือหวา
เพียงระยะ 7 เดือน ราคาหุ้น TUCC ปรับขึ้นจากราคาจอง 2.70 บาท มาถึงวันนี้ราคาวิ่งขึ้นไปแล้วที่ระดับ 4.64 บาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นกว่า 70% ขณะที่หุ้นตัวนี้เคยทำสถิติราคาสูงสุด 5.45 บาท เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก่อนจะทุบลงไปแถวๆ 3.50 บาท แล้วลากราคาขึ้นมาใหม่ เซียนหุ้นขาใหญ่ ทำกำไรเข้ากระเป๋าแล้วหลายรอบ
ที่สำคัญราคาดังกล่าวสูงกว่าปัจจัยพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองไว้ไม่ควรเกิน 4 บาท ทำให้ยิ่งน่าสงสัยว่าหุ้น TUCC มีอะไรดีกันแน่
ทรงชัย ลีละวินิจกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ไทยยูนีคคอยล์เซ็นเตอร์ กล่าวกับ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า ถึงแม้หุ้นบางส่วน 25% ที่ติดไซเลนท์พีเรียด 6 เดือน พ้นระยะห้ามขายไปแล้ว แต่ผู้บริหารก็ไม่คิดที่จะขายหุ้นออก ไม่ว่าจะกี่หุ้น เนื่องจากธุรกิจนี่เป็นธุรกิจที่ตั้งมากับมือ และถือว่ายังมีการเจริญเติบโตที่ดี
ส่วนราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นสูงอยู่ขณะนี้ เนื่องจากว่า นักลงทุนมองเห็นแนวโน้มของธุรกิจ สเตนเลส ที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยราคาสเตนเลสโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก จาก 2,200-2,300 เหรียญสหรัฐต่อตัน มาอยู่ที่ 2,900-3,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน
ซึ่งเชื่อว่าไตรมาส 2 ที่กำลังปิดงบอยู่ อาจจะมีข่าวดี
มือการเงิน TUCC บอกว่า อุตสาหกรรมสเตนเลสกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น แม้อีกบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดอย่าง ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส (INOX) ในไตรมาสแรกจะขาดทุน แต่เรากับเขาไม่เหมือนกัน ไทยน๊อคซ์ ผลิตสเตนเลสขายอย่างเดียว แต่ของเราหลากหลายกว่า
ทรงชัย กล่าวอ้างว่า แม้เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มชะลอตัวลดลง ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท ที่มีออเดอร์ล่วงหน้าทยอยเข้ามาเรื่อยๆ เพราะบริษัทมีสเตนเลสที่ใช้ในอุตสาหกรรมหลายประเภท ทั้งกลุ่มยานยนต์ กลุ่มเครื่องเย็นและห้องเย็น ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ และขยายตัวต่อเนื่อง
รวมไปถึงอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องครัวก็มีการใช้สเตนเลสมากขึ้น แต่ยอมรับว่าการที่ราคาสเตนเลสปรับขึ้นไปมาก อาจจะกดดันให้มีการบริโภคลดลงนิดหน่อย
เขากล่าวว่า ทิศทางการเติบโตของ TUCC ในปี 2549 น่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ คือ มีรายได้ 1,500 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่ทำไว้ 1,235 ล้านบาท และทิศทางการดำเนินงานของบริษัท ยังคงเน้นแนวทางมุ่งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมาร์จินสูง เช่น แผ่นสเตนเลสปั๊มลายนูนขัดเงา ซึ่งมีราคาสูงกว่าปกติ 2-3 เท่า
นอกจากนี้ยังจะขยายช่องทางขายไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น ในแถบตะวันออกกลาง เช่น อิหร่าน ดูไบ จอร์แดน และ อินเดีย ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
อย่างไรก็ตามสำหรับต้นทุนในปีนี้ อาจจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา จากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงราคาน้ำมัน แต่ต้นทุนในส่วนนี้จะถูกผลักภาระไปให้กับลูกค้า
ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นมานั้น ผู้บริหารบริษัท เชื่อว่า มีภาระสูงกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย เนื่องจากได้มีการคืนเงินกู้ไปแล้วส่วนหนึ่ง โดยปัจจุบัน TUCC มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน 1.8 เท่า
ถึงหนี้เราจะสูง แต่บริษัทยังมีศักยภาพในการลงทุนเพิ่มเติม ไม่อยากก่อกำแพงกันตัวเองว่าต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไว้ที่เท่าไร เพราะจะทำให้เสียโอกาสในการขยายธุรกิจ
ด้านนักวิเคราะห์รายหนึ่ง กล่าวกับ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า สาเหตุที่ราคาหุ้น TUCC เพิ่มขึ้นมามากนั้น เกิดจากมีการ ปล่อยข่าว ในห้องค้ามาตั้งแต่ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาว่า จะมีการลากหุ้น (ให้ราคาเป้าหมาย) โดยมีข่าวผลประกอบการที่ดี และการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลออกมาล่อตลอด จนถึงขั้นที่บริษัทจะจ่ายปันผลเป็นหุ้น
ทำให้บริษัทต้องออกมาชี้แจงว่า หากไม่มีการลงทุนเพิ่มเติม บริษัทอาจพิจารณากำหนดนโยบายเกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ซึ่งนโยบายดังกล่าว จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริษัทก่อน ขณะที่การจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญนั้นทางผู้บริหารได้ออกมาปฏิเสธแล้ว
ขณะที่การเล่นหุ้นตัวนี้ก็ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะมีโอกาสสูงที่ รายใหญ่ จะเทขายหุ้นทำกำไรได้ทุกเมื่อ
ด้าน บล.เอเซีย พลัส ประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมของ TUCC ณ สิ้นปี 2549 อยู่ที่ 4 บาท เท่านั้น โดยปีนี้ TUCC ต้องกลับมาเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหลังจากผลขาดทุนสะสมหมดลงในปี 2548 โดยในงวดไตรมาส 1 ปี 2549 TUCC มีอัตราการใช้กำลังการผลิตรวมเพียง 35% เนื่องจาก TUCC มีการติดตั้งเครื่องผลิตท่อขนาดเล็กกำลังการผลิต 6,150 ตัน/ปี ในช่วงปลายปี 2548 ทำให้ไม่สามารถใช้กำลังการผลิตได้เต็มที่
แต่คาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นภายหลัง โดยผลประกอบการน่าจะดีขึ้นในไตรมาส 2 จากการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น อาจทำให้ TUCC มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลได้
************************************************
|