รู้เขา..เขารู้
--------------------------------------------------------------------------------

การลงทุนของนักลงทุนส่วนใหญ่มักจะดูแนวทางการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติเป็นหลัก ว่าวันนี้จะซื้อหรือปล่อยของ โดยการเล่นหุ้นของนักลงทุนต่างชาติมีทั้งกองทุนใหญ่ ๆ และเล็ก ๆ กองทุนใหญ่ ๆ บางกองทุนจะมีเงินมากมายมหาศาลมากกว่างบประมาณของประเทศไทย ทั้งปี เช่น กองทุนเฮดฟัน ฉะนั้นตลาดหุ้นไทยจึงเล็กมากในสายตามของเขาเมื่อเศรษฐกิจไทยเติบโต SET ขึ้นสูง เขาจะเข้ามาซื้อหุ้นขนาดใหญ่ ทำให้ดัชนีขึ้นพรวดพาด หุ้นในกระดานเขียว ๆ ตามกันไปหมด ภาวะเช่นนี้แมลงเม่าอย่างพวกเราชอบ (ครูเฒ่าก็ชอบเพราะจะได้ขายหุ้นทำกำไรด้วยเก็บหุ้นถูก SET ต่ำ ๆ รอไว้) ซึ่งจะต้องพิจารณาให้รอบคอบดังที่ครูเฒ่าเคยกล่าวมาแล้วและจะกล่าวต่อไป อย่าผลีผลามมีอารมณ์ร่วมไล่ซื้อหุ้นทำให้ราคาสูงกว่าความเป็นจริงเกินมูลค่าของพื้นฐานจะติดหุ้นติดยอดดอย เพราะเวลากองทุนประเภทนี้ปิดบัญชีปิดงบปลายปีหรือมีเหตุวิกฤติเขาจะขายจนหมดพอร์ตทำให้หุ้นลง มองแดง ๆ ทั้งกระดานทำให้ใจหดหู่
เจ้ามือหรือรายใหญ่ พวกนี้คือบรรดาเสี่ย ๆ ทั้งหลายที่มีเงินมากเป็นพันล้าน หรือรวมเงินกันเป็นกลุ่มให้ได้เงินก้อนใหญ่ เพื่อปั่นหุ้น โดยค่อย ๆ ซื้อหุ้นบริษัทขนาดเล็กมีจำนวนหุ้นไม่มาก บางครั้งก็ร่วมมือกับบางบริษัท เมื่อซื้อหุ้นจากรายย่อยในตลาดจนหมดแล้ว ก็ออกข่าวลือ ข่าวดีต่าง ๆ แล้วสร้างราคาให้สูงขึ้น โยนหุ้น ทำทีเหมือนมีการซื้อขายหุ้นหนาแน่นล่อให้แมลงเม่าเข้าซื้อ เห็นหุ้นวิ่งเขียว ๆ แมลงเม่าชอบนัก หุ้นประเภทนี้มักจะเป็นหุ้นเน่า ผลประกอบการขาดทุน มีหนี้เยอะ พื้นฐานไม่ดีเลย
ส่วนตลาดหุ้นจะดีได้ รายได้รวมของประชาชาติต้องเติบโตดีต่อเนื่องเงินคงคลังมีสำรองไว้มากพอหนี้สาธารณะไม่มากหนี้ภาคเอกชนน้อย ประชาชนเชื่อมั่นในความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นำเงินออกมาจับจ่ายใช้สอยเงินไม่ล้นธนาคาร ธนาคารก็จะมีรายได้กินส่วนต่างของดอกเบี้ยๆก็จะสูงขึ้น บริษัท ห้างร้าน ขายดี มีกำไร หุ้นมีกำไรจ่ายปันผล ก็เป็นที่ต้องการของนักลงทุน หุ้นก็จะราคาสูงขึ้น นักลงทุนทั้งในและนอกประเทศก็จะมาซื้อหุ้น เงินก็จะไหลเข้าประเทศ ค่าเงินบาทก็จะแข็งมาก สินค้าส่งออกก็จะแพง ขายก็จะลดน้อยลง ผลิตแล้วขายไม่ได้ก็ขาดทุน บริษัทก็ไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ย หนี้ก็จะสูญ ฯลฯ วนเวียนอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นผู้บริหารประเทศจะต้องเฉลียวฉลาด เก่ง รอบรู้ รู้รอบ รู้จักใช้คนมีฝีมือ โดยเฉพาะทางการเงินการคลัง ต้องเดินทางสายกลางให้พอเหมาะพอดี เศรษฐกิจถึงจะขับเคลื่อนไปด้วยดี ประเทศก็จะมั่งคั่ง ประชาชนก็จะอยู่เย็นเป็นสุข
สำหรับเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้น อาทิ พ.ศ.2530 ก่อนวันจันทร์ 19 ตุลาคม BLACK MONDAY ดัชนีสูงสุด พอมีเหตุการณ์วิกฤต หลังจากนั้นดัชนีเหลือ 284 จุด
พ.ศ.2532 เมื่อหายตกใจจากแบล๊กมันเดย์ หุ้นก็ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆจนถึง 879 จุด พ.ศ.2533 ใน 3 เดือนแรกดัชนีขึ้นถึง 1143 จุด แต่มาเจอสงครามอ่าว เปอร์เซีย เมื่อ 2 ธันวาคม ทำให้หุ้นตกเหลือ 612 จุด
พ.ศ.2535 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬในวันที่ 17 ทำให้เกิดนองเลือด เมื่อมี การเลือกตั้งได้นายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นขึ้น รับข่าว ดัชนีแตะ 893 จุด
พ.ศ.2536 ปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตมาก หุ้นรับข่าวทำให้ดัชนีทะลุ 1005 จุด วิ่งไป 1682 จุดและดัชนีทำสูงสุด 1789 จุด นักลงทุนต่างชาติเทขายทำกำไรขนเงินกลับประเทศ ไม่มีใครซื้อหุ้นต่อ ราคาหุ้นก็ไหลลง
พ.ศ.2539 หุ้นไหลลงเรื่อยๆ ดัชนีเหลือ 1289 จุด ในเดือนมีนาคม
พ.ศ.2540 เศรษฐกิจฟองสบู่แตกประเทศไทยต้องกู้ IMF ดัชนีตกเหลือ 788 จุด
พ.ศ.2541 ปีนี้เกิดวิกฤติหนักมาก มีการปิดธนาคารปิดไฟแนนซ์ถึง 56 แห่ง ดัชนีเหลือ 495 จุด
พ.ศ.2542 ดัชนีตกลงไปอีกเหลือ 363 จุด
พ.ศ.2543 ดัชนีฟื้นขึ้นมาแตะ 477 จุด
พ.ศ.2544 เกิดก่อการร้ายที่ประเทศอเมริกาถล่มตึกเวิลด์เทรด ดัชนีตกวูบ ลง เหวเหลือ 274 จุด
พ.ศ.2546 ดัชนีลงเหวตกต่ำสุดขีดก็เริ่มฟื้นขึ้นมา 400 จุดได้ อเมริกาถล่มประเทศอิรัก เมื่อวันที่ 17 มีนาคม แต่นักลงทุนคาดว่าสงครามไม่ยืดเยื้อจึงเริ่มเข้ามาซื้อหุ้น ดัชนีขึ้น 500 จุด เงินต่างประเทศไหลเข้า ค่าเงินบาทแข็ง 40 บาทต่อ 1 ดอลล่าห์ 16 เมษายน มีโรคซาร์ระบาด ทำให้ตลาดหุ้นกระทบอย่างแรงระยะหนึ่ง แต่พอเดือนมิถุนายนต่างชาตินำเงินเข้ามาไล่ซื้อหุ้นให้เห็นชัดเจน รายย่อยก็ขนเงินออกจากธนาคารมาไล่ซื้อหุ้นผสมโรง เพราะดอกเบี้ยถูกเหลือแค่ร้อยละหนึ่งต่อปี ทำให้ดัชนีขึ้นอย่างร้อนแรงเป็น 600 จุด และ 700 จุด เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม โดยในวันนี้สิ้นปี พ.ศ.2546 ดัชนี 772.15 จุด บวก 7.92 จุด ซื้อขาย 41740.14 ล้านบาท

.........

.0004